Connect with us

ตำนาน เรื่องลี้ลับ

หวยพารวย หวยแม่นๆ เลขเด็ด เลขมงคล ตำนานเรื่องเล่า

Published

on

lotto666-01

ขุมทรัพย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

เรื่องมาจากคำบอกเล่าของพระธุดงค์หลายรูปที่เล่าตรงกันเกี่ยวกับขุมทรัพย์โบราณ มูลค่ามหาศาลภายใน”วัดป้าแก้ว” หรือ วัดใหญ่ชัยมงคลจ.พระนครศรีอยุธยา วัดนี้ตามประวัติกล่าวไว้ว่า เดิมเป็นวัดราษฎรเรียกกันว่าวัดป่า เลขมงคล

“หลวง ปูสีโห” ท่านเป็นพระที่มีชื่อเสียงในทาง “วิปัสสนากรรมฐาน” เคยมาปักกลดอยู่ในวัดป่าแก้ว ขณะที่ท่านพำนักอยู่ ได้มีคนกลุ่มใหญ่พากันเข้ามาภายในวัด มองดูลักษณะคล้ายพวกโจร คนเหล่านี้มาขอร้องให้หลวง ถอนกลดยายไปจากที่นั่น หลวงถามว่าเหตุใดจึงมาไล่ท่าน คนพวกนั้นตอบตามตรงว่าพวกเขาจะมาขุดทรัพย์ตามลายแทงแต่ไม่อยากให้หลวงปู่รับรู้ จากนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์ก็ได้เอาสมุดข่อย ซึ่งเขียนด้วยอักขระไทยโบราณ มีรูปแสดงที่ตั้งขุมทรัพย์ใต้ดินในบริเวณรอบๆพระเจดีย์ให้หลวงปู่ดู

สำหรับที่มาของขุมทรัพย์เหล่านี้ ตามลายแหงโบราณได้บอกไว้ว่า เป็นมหาสมบัติอันล้ำค่าของ”อดีต” พระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาหลายพระองค์ ที่สมเด็จพระนเรศวรทรงขุดพบ และนำมาฝังไว้ตามคำแนะนำของสมเด็จพระพนรัตน์ป่าแก้วผู้เป็นอาจารย์ของพระองค์ จุดประสงค์ก็เพื่อเป็นการบูชาพระรัตนตรัยแก้อาถรรพณ์ดวงเมืองที่ตกต่ำ ร่วงโรยมานาน ให้รุ่งเรืองขึ้นในยุคสมัยของพระองค์

การขุดสมบัติของกลุ่มโจรในวันนั้น เล่าว่า มีการนำอาจารย์ทางไสยศาสตร์มาทำพิธีด้วย มีการเสกไข่เสียงทาย และพบไข่เป็นสีต่างๆ เช่นสีเหลือง แดง เขียว ดำ ซึ่งบอกให้รู้ว่ามีขุมทรัพย์ประเภททองคำ เพชรนิลจินดา และเงินตราโบราณอยู่มากมาย ทำให้พวกโจรดีใจกันมาก แล้วก็ช่วยกันทำการขุด เมื่อขุดลงไปประมาณ 7 ฟุต พบโครงกระดูก 4 โครงนอนหัวชนกันหันเท้าชี้ไป 4 ทิศ และพอขุดลงไปอีก จอบก็ไปกระทบกับพื้นคอนกรีตโบราณ ซึ่งเป็นหลังคาอุโมงค์เก็บสมบัติ จึงพยายามช่วยกันแซะปากอุโมงค์ให้กว้างขึ้น และน่าประหลาดที่ภายในอุโมงค์ มีกระแสลมแรงมาก พัดออกมาตลอดเวลา คล้ายมีพัดลมขนาดใหญ่อยู่ข้างใน

อาจารย์ทางไสยเวทย์ที่ร่วมทีม จึงทดลองเอาด้ามเสียมแหย่ลงไปดู ปรากฏว่าเสียมถูกกระแสลมตีเศษเหล็กกระจาย ทำให้แน่ใจว่าภายในหลุมนี้มี “หุ่นพยนต์” หรือ “จักรพยนต์” ที่คนโบราณผูกไว้ สำหรับป้องกันขุมทรัพย์

กลุ่มโจรเหล่านี้ แม้จะมีอาจารย์ทางไสยศาสตร์ มาคอยแก้อาถรรพณ์อยู่ด้วยก็ยังทำได้ยาก เพราะขณะกำลังทำพิธีล้างอาถรรพณ์หุ่นพยนต์นั้น อุโมงค์ขุมทรัพย์ก็ได้เลื่อนออกไป เสียงดังครืดๆ เป็นที่น่าอัศจรรย์ ดึกดื่นคืนนั้นพวกโจรกลับกันหมดแล้ว ได้ปรากฎร่างใหญ่โตของคน 4 คน ซึ่งไม่มีหัวมายืนอยู่หน้ากลดหลวงปู่สีโห ทั้งหมด คือ ภูตที่คอยเฝ้ามหาสมบัติ ให้สมเด็จพระนเรศวรฯ มาแจ้งให้หลวงปู่ทราบว่ากลุ่มโจรเหล่านี้ มาขุดพระราชทรัพย์อันศักดิ์สิทธิ์ พวกตนจะมาเอาชีวิตไปให้หมด แต่ติดขัดว่ามีหลวงปู่อยู่ด้วยจึงมาแจ้งให้ทราบ

หลวงสีโหได้ชื่อว่าเป็นพระที่มีจิตเมตตา ท่านจึงได้ขอบิณทบาตชีวิตคนเหล่านั้น ขอแค่ดัดนิสัยให้เข็ดหลาบก็พอ หลวงปู่สีโหจึงเข้าฌานติดต่อกับพญายมบาล เมื่อพญายมบาลเปิดบัญชีดู จึงรู้ว่าพวกขุดลักพระราชทรัพย์เหล่านี้ ดวงยังไม่ถึงฆาตในตอนนี้

ครั้นรุ่งเช้า หลวงปู่สีโหตื่นขึ้นจะไปสรงน้ำ เพื่อออกบิณทบาต ก็ได้เห็นโจรกลุ่มนั้นกำลัง นอนดิ้นทุรนทุราย เอามือกุมท้องบิดไปมาด้วยความเจ็บปวด ขอให้หลวงปู่ช่วย ขณะเดียวกันบนองค์พระเจดีย์ใหญ่ ก็เกิดเสียงดังครืน ทำให้ทุกคนหันไปดู เพราะคิดว่าพระเจดีย์จะถล่ม แต่แล้วก็พากันตกตะลึง เมื่อเห็นชายผู้หนึ่ง เดินลงมาจากพระเจดีย์ พร้อมด้วยผีหัวขาดร่างใหญ่โต และพากันเดินหายไปทางกำแพงแก้ว ด้านทิศใต้ พวกโจรในที่นั้นร้องอุทานด้วยความตกใจสุดขีด

หลวงปู่จึงบอกว่า “พวกเขาคือ ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ที่จะมาเอาชีวิตพวกเจ้า” พอได้ยินหลวงปู่พูดเช่นนี้พวกโจรทั้งหมดก็เกิดความกลัว ตาหูเหลือกลาน จนอาการปวดท้องกำเริบทำให้หมดสติไปตามๆกัน หลวงปู่เห็นแล้วก็ยิ่งเกิดความสังเวช ที่เห็นโจรเหล่านี้ถูกลงโทษ เช้าวันนั้นท่านจึงจาริกออกจากอยุธยาไป ปล่อยให้โจรเหล่านั้น นอนสลบไสลเฝ้าขุมทรัพย์ภายในวัดป้าแก้วไปตามยถากรรม

“ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” นั้นมีจริงหากใครไม่เชื่อคิดลบหลู่ลอง ของก็เชิญพิสูจน์ได้ที่ “วัดป่าแก้ว” หรือ”วัดใหญ่ชัยมงคล” จ.อยุธยา เพราะสมบัติมีค่ามหาศาล ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรฯ ณ ปัจจุบันก็ยังคงฝังอยู่ใต้ดิน รอบองค์พระเจดีย์นั่นเอง..

 

วัตถุมงคล

การกลับมาแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ครั้งใหม่ ทำให้หลายกิจการออกมาประกาศ “ปิดตัวถาวร”เนื่องจากไม่อาจแบกรับสภาพหนี้รอบใหม่ ส่งผลให้พนักงาน “ตกงาน” หลายร้อยคน หากจะกล่าวว่าฝันร้ายกลับกลายเป็นจริงคงไม่ผิด..

ท่านอาจารย์แขก รือเสาะปรมาจารย์วิชาเหมาซาน “มือ 1″ของประเทศไทย กล่าวว่า “เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2563 ซึ่งมีการตรวจพบโควิด 19 รอบใหม่ จนเป็นข่าวโด่งดังไปทั้งประเทศ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ ดาวพฤหัสดีและดาวเสาร์ “ทับกัน” พอดี ส่งผลให้ประเทศไทยจะพบวิกฤติรุนแรง ที่ปรากฏอย่างชัดเจน คือ การแพร่ระบาดของโควิด 19 รอบใหม่ พบผู้ติดเชื้อมากมาย

อิทธิพลของดวงดาวทั้ง 2 ดวงนี้ จะส่งผลไปในทางเลวร้ายรุนแรง ซึ่งจะยาวไปจนถึงเดือนเมษายนเลยทีเดียว จากนั้นทุกอย่างจะค่อยๆเริ่มคลี่คลายลง ระหว่างนี้เราจะต้องหาตัวช่วย ซึ่งจะช่วยประคองให้เราผ่านพันวิกฤตินี้ ช่วยตัวที่ว่านั้น คือ การบูชาราหู ซึ่งถือว่าเป็นเทพหัตถเคราะห์ ราหูนั้นมีพลังอำนาจมากมายมหาศาล ดังนั้นคนที่กำลังประสบชะตากรรมเลวร้ายควรอย่างยิ่งที่จะบูชาราหู

คนที่บูชาราหู นอกจากจะผ่านพันวิกฤตนี้ไปได้แล้ว การดำเนินชีวิตกลับสวนกระแสเศรษฐกิจ คือหยิบจับสิ่งใดๆ จะเป็นเงินเป็นทองในขณะที่คนอื่นๆ ไม่มีโชคลาภ คนที่บูชาราหูกลับมีโชคลาภเข้ามาตลอดเวลา คนที่ค้าขายขาดทุนจนต้องปิดการ คนที่บูชาราหูกลับค้าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า คนที่มักจะมีปัญหาในที่ทำงาน คนที่บูชาราหูกลับเป็นที่รักของคนในที่ทำงาน

สำหรับวัตถุมงคลที่เกี่ยวข้องกับราหู ท่านอาจารย์แขก รือเสาะแนะนำให้บูชา “เหรียญพญาราหชิงดวง” ซึ่งถือว่าเป็น วัตถุมงคลในตำนานของท่านอาจารย์แขกรือเสาะ

ท่านอาจารย์แขก รือเสาะได้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของ”สุดยอด” เครื่องรางของขลัง”พญาราหูซิงดวง” ปกติเราจะเห็นราหูองค์เพียงแค่เดียว แต่ในพญาราหูชิงดวงจะมีองค์ราหูถึง 8 ตนข้างๆองค์ราหูเราจะเห็นเลขรายล้อมอยู่ 8 เลข เลขทั้งหมดคือกำลังตามวัน ตัวอย่างเช่น จันทร์ 15 อังคาร8 คือ ราหูที่คุมกำลังวันนั่นเอง

การที่ราหูเข้าไปเสวยอายุคือ ราหูส่งผลให้คุณให้โทษ เรียกราหูเสวยอายุ เหรียญนี้ล้อมรอบด้วยราหู 8 คือ ราหูเสวยอายุในแต่ละวัน ไม่สำคัญว่าเราจะเกิดวันไหน ถ้าเราเกิดวันจันทร์เหรียญนี้ก็มีวันอังคารเหรียญนี้ก็มี พุธกลางวันก็มี พุธกลางคืนก็มี เพราะมันมีครบทั้ง 8 วัน ปกติจะมี 7 วัน ที่เป็น 8เพราะนับพุธกลางคืนเข้าไปด้วย คือราหูโดยตรงเข้าไปด้วย เท่ากับมี 8วัน หลังราหู 8 เปรียบเสมือนราหูเข้าเสวยชะตาชีวิตมนุษย์ ในแต่ละวันเกิดของแต่ละคน

การสร้างเหรียญราหูชิงดวงนี้ เป็นไปตามคำบัญชาขององค์จตุคามรามเทพ (ในกัมมัฏฐาน)เหรียญนี้จัดทำที่จังหวัดชุมพร รุ่นพระธาตุสวี คือ รุ่นสองพระธาตพ.ศ.2550

ด้านหน้า เป็นองค์จตุคามรามเทพ อยู่ในปาง 4 กร ในมือถืออาวุธ ล้อมรอบด้วยพญานาค คือพญางูทั้ง 4 งูทั้ง 4 ได้ชื่อว่าผู้เป็นใหญ่แห่งทะเลใต้ 4 คาบสมุทรทะเลดำ พญานาดเปรียบเสมือนผู้ดูแลคาบสมุทร แต่ละคาบทั้ง 4 คาบ กินหางกัน (นาคบาศก์กินหางกัน) ทั้ง 4คาบสมุทร

วิธีการแขวนเหรียญราหูชิงดวง ถ้าเอาด้านที่เป็นดวงหันออกด้านนอก เท่ากับเป็นการเสริมดวงหากเราเอาองค์พ่อจตุคามรามเทพหันออกด้านนอก เท่ากับเป็นการเสริมอำนาจ ถ้าเราไปเจรจาให้มีอำนาจเหนือทุกคน ก็ให้เอาด้านองค์พ่อหันออกข้างนอก หากเราเป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พ่อค้า ซึ่งต้องการให้ดวงดี คนทำงานกลางคืนให้เอาด้านดวงไว้ข้างหน้า แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น

 

คำภีร์จอมขมังเวทย์

วัตถุมงคลจะมีอำนาจพุทธคุณเพียงใดนั้นตัวแปรสำคัญอยู่ที่พิธีพุทธาภิเษก (ปลุกเสก) ทุกครั้งที่นิตยสารแม่นาคนำวัตถุมงคลมาเผยแพร่ ท่านผู้อ่านจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ และจะไม่ถามว่าวัตถุมงคลปลุกเสกหรือเปล่า เนื่องจากทราบกันดีว่านิตยสารแม่นาค มีข้อตกลงกับคณะผู้จัดสร้างวัตถุมงคล ต้องมีภาพถ่ายพิธีพุทธาภิเษกมายืนยัน จึงจะได้ลงตีพิมพ์ในนิตยสารแม่นาค

สำหรับวัตถุมงคล “3 กุมารเทพแดนใต้ ไตรภาคี” คือ ไอ้ไข่ ไอ้ไข่ดำ ไอ้ไข่แดง พิธีพุทธาภิเษก(ปลุกเสก) จัดขึ้นใน วันเสาร์ที่ 31ตุลาคม 2563 เวลา 15.39 น. ณสำนักสักยันต์ท่านอาจารย์ออ บอทอง อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานีในพิธีฯ มีพระเคจิคณาจารย์ ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ และ อาจารย์ฆราวาสผู้เรืองวิทยาคม 108 ท่าน

หนึ่งใน “สุดยอด” อาจารย์ฆราวาส ที่มาทำพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคล 3 กุมารเทพแดนใต้ ไตรภาคีคือ “จอมขมังเวทย์” ผู้เรืองวิทยาคมแห่งอันดามัน ท่านอาจารย์เพชร “พ่อครูหมอเฒ่า” วัตถุมงคลที่ท่านสร้างแต่ละรายการ จำนวนการสร้างไม่มากนัก ส่วนในเรื่องของอำนาจพุทธคุณ ได้เป็นที่ยอมรับในเรื่องของความแรงจนกระทั่งมีคำกล่าวอยู่ประโยคหนึ่ง คือ “หากต้องการบูชาวัตถุมงคลแรงๆ ให้นึกถึงวัตถุมงคลของท่านอาจารย์เพชร”

เมื่ออาจารย์เพชรท่านเดินเข้ามาในประรำพิธีท่านได้กล่าวว่า ทิศทางการตั้งประรำพิธีถูกต้อง วันและเวลาก็มีความเป็นสิริมงคล(วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม 2563 เวลา15.39 น. ถือเป็นวันแห่ง “พลังกุมารเทพ” (กุมารเทพสำนักใดก็ตาม หากทำพิธีปลุกเสกในวันเวลาดังกล่าวกุมารเทพนั้นจะมีฤทธานุภาพ “แรงกล้า” เหนือกว่ากุมารเทพทั่วไป)

ขณะที่พิธีพุทธาภิเษกกำลังดำเนินการอยู่นั้น ท่านอาจารย์เพชรได้เพ่งพลังและกระแสจิต พุ่งตรงไปยังรูปเคารพ 3 กุมารเทพแดนใต้ไตรภาคี คือ ไอ้ไข่ ไอ้ไข่ดำ ไอ้ไข่แดง ใครที่นำเจ้าทั้ง 3 ไปอยู่กับเขาเจ้าจะต้องช่วยดูแลเขาให้ดีที่สุด

หากเขาต้องการโชคลาภเจ้าจะต้องช่วยให้เขามีโชคลาภหากเขาต้องการค้าขายดี เจ้าต้องช่วยให้เขาค้าขายดี หากเขารับราชการ เจ้าจะต้องช่วยให้เขาเจริญในหน้าที่การงาน หากคนในครอบครัวทะเลาะเบาะแว้ง เจ้าต้องช่วยให้คนในครอบครัว มีความรักใคร่ กลมเกลียวสมัครสมาน ด้วยจิตสัมผัสที่ส่งไปยังรูปเคารพ 3 กุมารเทพแดนใต้ ไตรภาคีทั้งไอ้ไข่ (ศิษย์หลวงพ่อกวด) ไอ้ไข่ดำ ไอ้ไข่แดง ได้ก้มลงกราบท่านอาจารย์เพชรด้วยความเคารพพร้อมกล่าวว่า… ได้ขอรับท่านอาจารย์ พวกผมจะปฏิบัติตามทุกประการ!

ท่านผู้อ่านอาจตั้งคำถาม”ท่านอาจารย์เพชรสามารถติดต่อกับ 3 กุมารเทพแดนใต้ ได้จริงหรือ?” ในเรื่องนี้ผมได้สอบถามท่านอาจารย์ออ บ่อทอง ได้รับคำตอบ”ท่านอาจารย์เพชรมีฌานบารมีสูงมาก แม้แต่เหตุการณ์ในอนาคตท่านก็ยังรู้” ท่านอาจารย์ออกล่าว

ผู้ที่บูชาวัตถุมงคล 3 กุมารเทพแดนใต้ ไตรภาคี ไอ้ไข่ ไอ้ไข่ดำ ไอ้ไข่แดง จึงมีประสบการณ์จริงในเรื่องโชคลาภ การค้าขาย หน้าที่การงาน หากท่านกำลังมองหาวัตถุมงคล “ทางด้านโชคลาภ” แรง..แรง ขอแนะนำ 3 กุมารเทพแดนใต้ ไตรภาคี

 

เรื่องเล่าของคนโบราณ

lotto666-02

lotto666-02

เรื่องราวความลี้ลับ เรื่องเล่าขานตำนานนิยายพื้นบ้าน เรื่องราวเก่าแก่ที่เล่ากันสืบทอดต่อกันมา ขอนำท่านผู้อ่านไปอำเภอลับแล ซึ่งเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นชุมชนโบราณมีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5เคยเสด็จเมื่อ ปี พ.ศ.2444

ความเป็นมาของคำว่า “ลับแล” ตามข้อสันนิษฐานของ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ (การแต่งกายของชาวลับแลในสมัยรัชกาลที่ 5 จากตำนานหลักฐาน จึงทำให้ทราบว่ากลุ่มชนส่วนใหญ่ ที่มาอยู่ในบริเวณเมืองลับแลในปัจจุบันนั้น อพยพมาจากอาณาจักรเชียงแสนโบรวณ (โยนกนาคพันธุ์) ว่า เดิมชาวเมืองแพร่ เมืองน่าน หนีข้าศึกและความเดือดร้อน มาชุ่มช่อนตั้งชุมชนอยู่บริเวณนี้ เนื่องจากเป็นที่ปารก หลบซ่อนตัวง่าย ภูมิประเทศเป็นเมืองอยู่ในหุบเขา มีที่เนินสลับกับที่ต่ำ คนต่างเมืองถ้าไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศจะหลงทางได้ง่าย

เล่ากันว่า คนมีบุญเท่านั้นจึงจะได้เข้าไปถึงเมืองลับแล ตำนานนี้เล่ากันสืบมาว่า ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่ง (น่าจะเป็นคนเมืองทุ่งยั้ง) เข้าไปในป่า ได้เห็นหญิงสาวสวยหลายคนเดินออกมา ครั้นมาถึงชายป่า นางเหล่านั้นก็เอาใบไม้ที่ถือมา ไปซ่อนไว้ในที่ต่างๆ แล้วก็เข้าไปในเมืองด้วยความสงสัยชายหนุ่มจึงแอบหยิบใบไม้มาเก็บไว้ใบหนึ่ง ตกบ่ายหญิงสาวเหล่านั้นกลับมา ต่างก็หาใบไม้ที่ตนซ่อนไว้ ครั้นได้แล้วก็ถือใบไม้นั้นเดินหายลับไป

หญิงสาวคนหนึ่งหาใบไม้ไม่พบ เพราะชายหนุ่มแอบหยิบมา นางวิตกเดือดร้อนมาก ชายหนุ่มจึงปรากฏตัวให้เห็นและคืนใบไม้ให้ โดยมีข้อแลกเปลี่ยน คือ ขอติดตามนางไปด้วย เพราะจะได้เห็นเมืองลับแล หญิงสาวก็ยินยอม

นางจึงพาชายหนุ่มเข้าไปยังเมือง ซึ่งชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าทั้งเมืองมีแต่ผู้หญิง นางอธิบายว่าคนในหมู่บ้าน ล้วนมีศีลธรรม ถือวาจาสัตย์ ใครประพฤติผิดก็ต้องออกจากหมู่บ้านไป ผู้ชายส่วนมากมักไม่รักษาวาจาลัตย์ จึงต้องออกจากหมู่บ้านกันไปหมด แล้วนางก็พาชายหนุ่มไปพบมารดาของนาง

ชายหนุ่มเกิดความรักใคร่ในตัวนาง จึงขออาศัยอยู่ด้วย มารดาของหญิงสาวก็ยินยอม แต่ให้ชายหนุ่มสัญญา จะต้องอยู่ในศีลธรรมไม่พูดเท็จ ชายหนุ่มได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวลับแล จนมีบุตรชายด้วยกัน 1 คน

วันหนึ่งภรรยาไม่อยู่บ้านชายหนุ่มผู้พ่อเลี้ยงบุตร บุตรร้องไห้หาแม่ไม่ยอมหยุด ผู้เป็นพ่อจึงปลอบว่า “แม่มาแล้ว แม่มาแล้ว” มารดาของภรรยาได้ยินเข้า ก็โกรธที่บุตรเขยพูดเท็จ เมื่อบุตรสาวกลับมาก็บอกให้รู้เรื่อง ฝ่ายภรรยาของชายหนุ่มเสียใจ ที่สามีไม่รักษาวาจาสัตย์ นางบอกให้เขาออกจากหมู่บ้านไปเสีย แล้วนางก็จัดหายามใส่เสบียงอาหาร ของใช้ที่จำเป็นให้สามีพร้อมทั้งขุดหัวขมิ้นใส่ลงไปด้วยจากนั้นก็พาสามีไปยังชายป่า ชี้ทางให้แล้วนางก็กลับไปเมืองลับแลชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรจำต้องเดินทางกลับบ้าน ตามที่ภรรยาชี้ทางให้

ระหว่างทางที่เดินไปนั้น เขามีความรู้สึกว่าถุงยามที่ถือมาหนักขึ้นเรื่อยๆ และหนทางก็ไกลมาก จึงหยิบเอาขมิ้นที่ภรรยาใส่มาให้ ทิ้งเสียจนเกือบหมด ครั้นเดินทางกลับไปถึงหมู่บ้านเดิม บรรดาญาติมิตรต่างก็ซักถาม ว่าหายไปอยู่ที่ไหนมาเป็นเวลานาน ชายหนุ่มจึงเล่าให้ฟังโดยละเอียด รวมทั้งเรื่องขมิ้นที่ภรรยาใสย่ามมาให้ แต่เขาทิ้งไปเกือบหมด เหลืออยู่เพียงแง่งเดียว พร้อมทั้งหยิบขมิ้นที่เหลืออยู่ออกมา ปรากฎว่าขมิ้นนั้นกลับกลายเป็นทองคำทั้งแท่ง

ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจและเสียดาย จึงพยายามย้อนไปเพื่อหาขมิ้นที่ทิ้งไว้ ปรากฏว่าขมิ้นเหล่านั้นได้งอกเป็นต้นไปหมดแล้ว และเมื่อขุดดุก็พบแต่แง่งขมิ้นธรรมดาที่มีสีเหลืองทอง แต่ไม่ใช่ทองเหมือนแง่งที่เขาได้ไป เขาพยายามหาทางกลับไปเมืองลับแส แต่ก็หลงทางวกวนไปไม่ถูก จนในที่สุดก็ต้องละความพยายามกลับไปอยู่หมู่บ้านของตนตามเดิม จากคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ ยังมีอีกหลากหลายสถานที่ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเมืองลับแล แต่จะเป็นที่ใดบ้างนั้น โปรดติดตามในนิตยสารแม่นาค..

 

คุยกับอาจารย์ประกาย ณ สงขลา

ผมได้ไปสัมภาษณ์ ดร.ประกาย ณ สงขลาพราหมณ์ผู้มีประสบการณ์ทางด้านโหราศาสตร์ มากว่า40 ปี โดยประเด็นหลักอยู่ที่ความเชื่อในเรื่องกุมารเทพ “ไอ้ไข่” ซึ่งกำลังกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ “กระแสของไอ้ไข่ชักจะเริ่มไม่แรง”

ผมได้ป้อนคำถามหลากหลายเกี่ยวกับเรื่องไอ้ไข่ ซึ่งเชื่อว่าท่านผู้อ่านแฟนหนังสือแม่นาค คงจะรับประโยชน์กันไปบ้างไม่มากก็น้อยท่านอาจารย์ประกายกล่าวว่า ประเทศไทยประเทศเดียวที่มีวัตถุมงคลประเทศอื่นเขาไม่ได้สร้าง ประเทศไทยนั้นมีพระคาถา เรื่องของการปฏิบัติ ตั้งแต่สมัยจตุคามรามเทพวันนี้นิ่งเงียบ เนื่องจากทุกคนมีติดตัวทุกบ้านมีบูชา หากทำออกมาคงไม่มีใครต้องการ เนื่องจากทุกบ้านมีอยู่แล้ว

ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับท่านอาจารย์ประกาย วันที่ไปปลุกเสกองค์จตุคามรามเทพ วันนั้นฝนตกหนักมาก ผมไม่อาจทำอะไรได้นอกจากปักธูปกลางแจ้ง ขอความศักดิ์สิทธิ์ขององค์จตุคามรามเทพช่วยให้ฝนหยุดตก พอปักธูป ปรากฏว่าฝนหยุดตกทันที

เรื่องราวอภินิหารของ “ตาไข่” (ไอ้ไข่) ตอนแรกท่านอาจารย์ประกายก็ไม่เชื่อ ส่วนตัวได้ไปเข้าพิธีปลุกเสก ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชหลายครั้ง เห็นคนไปกราบไหว้ขอพรขอบารมี แล้วคนที่ขอก็ได้ในสิ่งที่ขอผมได้คิดในทางวิทยาศาสตร์ ขอ 100 คนก็ต้องได้สักคน เพราะเป็นแค่กุมารธรรมดาจะวิเศษอะไร เพราะท่านอาจารย์ประกายมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้กราบไหว้มากมาย ตาไข่นั้นเป็นแค่กุมารธรรมดาๆ คงไม่มีอะไร

วันหนึ่งพรรคพวกให้ตาไข่มาบูชา จากนั้นมีความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้น วันหนึ่งท่านอาจารย์ประกายได้ไปทำพิธีบวงสรวงตาไข่ วัดบางแพรก อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรีวันนั้นมีอาจารย์ฆราวาสจอมขมังเวทย์ ไปทำพิธีฯ เป็นร้อยคน ขณะกำลังทำพิธีๆอยู่นั้น มีความรู้สึกของการได้รับพลัง เหมือนมีลมมาปะทะ

ท่านอาจารย์ประกายได้บูชาตาไข่องค์ใหญ่มาตั้งที่สำนัก ในเวลานั้นสถานที่ของท่านอาจารย์ประกายยังสร้างไม่เสร็จ ท่านเดินผ่านรูปเคารพตาไข่ แล้วใช้มือลูบที่แขนตาไข่แล้วพูดว่า ขอให้สร้างเสร็จตามกำหนดเวลา “งานไหว้ครู” หลังจากนั้นเริ่มมีเงินเข้ามาอย่างมากมายจนทำให้สามารถสร้างสถานที่จัดงานสำเร็จ

จากนั้นท่านอาจารย์ประกายกำลังเดินหน้าสร้างโรงเรียนสอนเกี่ยวกับพระเวทย์ ซึ่งจะต้องจดทะเบียนกับกระทรวงศึกษา เวลานั้นทางผู้หลักผู้ใหญ่ก็งง ทำไมจะต้องมาจดทะเบียนขึ้นเป็นโรงเรียนเพราะเป็นการสอนเกี่ยวกับเรื่องพระเวทย์ ทางกระทรวงขอดูตำรา แล้วให้เจ้าหน้าที่ตรวสอบเอกสาร สุดท้ายทางกระทรวงก็เห็นสมควรอนุญาตให้จดทะเบียน

การที่คนส่วนใหญ่เรียกไอ้ไข่คนใต้ถือว่าเป็นคำสรรพนาม ไม่ได้เป็นการลบหลู่แต่อย่างใด แต่สำหรับคนภาคกลาง ท่านอาจารย์ประกายแนะนำ ควรเรียก “ตาไข่” เขาเป็นกุมารเทพ สามารถสื่อกับองค์มหาเทพได้อย่างแน่นอน

การขอในเรื่องใดๆกับกุมารเทพ “ต้องค่อยๆพูด” ไม่จำเป็นต้องบนบาน (การบนบานเป็นนิสัยคนไทย) ส่วนการถวาย คือ การน้อมสักการะ แสดงให้เห็นถึงการแสดงความเคารพ สำหรับคนไทยกับความศรัทธาในกุมาร เราจะเห็นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จากกุมารองค์นี้ไปกุมารองค์นั้น เชื่อว่าตาไข่ก็คงจะอยู่กับเราไปอีกนานทีเดียว

หากท่านกำลังมองหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางโชคลาภ การค้าขายผมขอแนะนำวัตถุมงคลมาแรงในเวลานี้ คือ 3 กุมารเทพแดนใต้ไตรภาคี ไอ้ไข่ ไอ้ไข่ดำ ไอ้ไข่แดงรุ่น เพชรบอทอง …รับรอง “แรงสั่งได้ แรงได้ใจ” อย่างแท้จริง!

Continue Reading
Click to comment

Leave a Reply

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *