Connect with us

สถานที่ขอหวย

เลขมงคล เลขนำโชค หวยแม่นๆ ทำนายฝัน พารวย

Published

on

lotto666-1

เลขมงคล เลขนำโชค หวยแม่นๆ ทรัพย์ที่เป็นทุกข์

ขึ้นซื่อว่าทรัพย์ทั้งหลาย ย่อมมีทั้งสุขและทุกข์ เนื่องจากว่าที่คนเราจะได้ทรัพย์สินเงินทองมา ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ โดยเฉพาะคนไทยที่กำลังตกอยู่ในความทุกข์ทางเศรษฐกิจ หันหน้าไปทางไหนล้วนมีแต่หนี้สิน

ปัจจุบันทั่วทุกหัวระแหงของประเทศไทย คุณลองสังเกตดีๆ จะมีแขกต่างชาติทั้งอินเดียและปากีสถาน เข้ามาปล่อยเงินกู้ให้คนไทย ชนิดที่ไม่ต้องมีหลักฐานใดๆ คำประกัน เอาตัวตนของผู้กู้นี่ล่ะค้ำประกัน เมื่อเงินทองที่ได้มาโดยง่ายเหล่านี้ ริ่มแรกก็ใข้กันเพลิดเพลิน หากเมื่อต้นทบดอก ดอกทบต้นนี่เล่า เหล่านี้จึงเป็นที่มาของการมีทรัพย์แล้วเป็นทุกข์นั่นเอง แทงหวย

ดั่งเช่นเรื่องของป้านวล ผู้เขียนได้รู้จักป้านวลมาหลายปี สมัยเมื่อปี ๒๕๕๕ที่หมู่บ้านเอื้ออาทร ที่ผู้เขียนและป้านวลอยู่อาศัยปลูกสร้างแล้วเสร็จ เราสองครอบครั้วได้เข้าซื้อเป็นรุ่นแรกๆ ในราคา ๓ แสน ๙ หมื่นบาท เลขนำโชค

ทั้งนี้ครอบครัวของป้านวลสมัยนั้นมีลูกชาย-หญิง ๒ คน อายุไล่เลียกัน โดยลูกชายคนโตวัย ๒๑ ปี ชื่อว่าเอ ส่วนลูกสาวคนเล็กนั้นชื่อบี อายุ ๑๘ ปี ทั้งนี้สามีของป้านวลได้เสียชีวิตก่อนหน้าที่จะมาซื้อบ้านอยู่ ครอบครัวป้านวลจึงอยู่อาศัยกัน ๓ แม่ลูก โดยอาชีพของป้นวลจะขายข้าวราดแกง อาหารตามสั่ง ขายตั้งแต่เช้าตรูไปจนถึง ๓-๔ ทุ่ม ซึ่งลูกค้าของป้านวลนั้นเยอะมาก ยืนขายแทบไม่ทัน

ต่อมาเอ ลูกชายของป้านวลได้เข้าไปข้องแวะกับยาเสพติด ส่วนป้านวลไม่ใช่คนที่โอ๋ เอาใจลูกเหมือนแม่คนอื่นทั่วไป ซึ่งหากน้องบีมาตะไกนฟองแม่คราวใด ว่าพี่เอขโมยเงิน เงินหายไปเท่านี้ เท่านี้ เพราะเอาไปซื้อยาบมาเสพ ป้านวลเธอจะก่นด่าประจานให้ชาวบ้านรับรู้ทันทีว่าเอได้ขโมยเงินไปเท่าไร

ในส่วนของเอก็มิได้ตอบโต้แม่และน้องสาวแต่อย่างใด ได้แต่ขี่รถมอเตอร์ไซค์รีบขับออกไป ถือเป็นภาพและการตุค่าที่ซินตา กระทั่งสองปีถัดไป ทั้งการเสพยาของน้องเอ และการตุค่าของแม่เช่นป้านวลได้กลายเป็นเรื่องเศร้าในตี ๓ ของเช้าวันใหม่ ที่ป้านวลลุกจากห้องนอนเดินลงบันได เท้าของป้านวลได้ไปสะดุดปมเงื่อนบางอย่าง และเมื่อก้มดู มันเป็นปมเชือกไนล่อน โดยมีศีรษะของลูกชายคอพับอยู่นอกราวบันไดนั่นเองป้านวลได้แต่ร้องไห้เสียงดังด้วยความตกใจ จนชาวบ้านแตกตื่นพากันวิ่งมาดู ภาพที่ป้นวลช่วยยกลูกชายพากันปลดเชือกออกจากคอ เพราะคิดว่าลูกนั้นยังมีชีวิต แต่ท้ายที่สุด ด็กหนุ่มได้หมดลมหายใจไปราว ๒-๓ ชั่วโมงแล้ว ตามคำชันสูตรของแพทย์ ทำนายฝัน

ทั้งนี้เอได้เขียนจดหมายลาตายไว้หนึ่งฉบับ ระบายความในใจว่าแม่นั้นรักลูกไม่เท่ากัน เชื่อคำที่น้องสาวพูดทุกอย่าง ไมเคยฟังคำอธิบายจากปากเขา บางคราวเงินของแม่หายไป ๑ พันบาทก็จริงอยู่ แต่ในความสัตย์จริง เขาหยิบเงินไปเพียง ๓-๔ ร้อยบาทเท่านั้น แค่เพียงพอกับการซื้อยามาเสพ ต่างกับบี ที่แม่มองน้องสาวว่าเป็นคนดีแต่บีก็ขโมยเงินแม่เหมือนกัน หรือจำนวนอาจมากกว่าเขา พูดเขียนง่ายๆ เอจากโลกนี้ไป เพราะความน้อยใจในตัวผู้เป็นแม่

กระทั่งงานศพของเอผ่านไป ดูป้านวลเธอพูดถึงลูกชายไม่กี่วัน ก็กลับมาค้าขายต่อไป หากที่เปลี่ยนแปลงนั้นคือ ป้านวลกับบีเริ่มมีลูกค้าประจำมาเกี้ยวพาราสีทั้งแม่ทั้งลูก จากที่เคยปิดร้าน ๒-๓ ทุ่ม ก็ปิดราว ๖ โมงเย็น เพราะนัดกับหนุ่มไปทานข้าวนอกบ้าน ซึ่งนิสัยของป้นวลเธอดีไปอย่าง ใครตั้งคำถามอะไรมา แกตอบตรง ไม่อ้อมค้อมโดยเฉพาะกับบี ลูกสาวของเธอ วันดีคืนดีเธอถามลูกสาวต่อหน้าลูกค้าว่า

แทงหวย “นี่ครบกำหนดฉีดยาคุมหรือยังลูกบี ถ้าคิดรักสนุกต้องรู้จักคุมกำเนิด” เธอสอนลูกสาวเสียงดังโป้งๆ ไม่อายใครส่วนลูกสาวก็ย้อนป้านวลว่า”แล้วตัวคุณแม่ ไม่ต้องฉีดยาคุมหรือคะ?” ป้านวลเธอก็จะตอบว่า “กูจะ ๕๐ แล้ว ไม่ต้องฉีด จะฉีดไปทำไม?” คู่แม่ลูกเขาเย้าหยอกกันประมาณนี้ ซึ่งเมื่อ ๕-๖ ปีก่อน ในสายตาของผู้เขียนป้านวลเธอยังดูไม่แก่ การแต่งเนื้อแต่งตัวก็เตะตาลูกค้าดี ซึ่งคู่แม่ลูกเขาก็ใช้ชีวิตดำเนินไปอย่างไม่ติดขัด บางวันแกเมาค้างก็ขึ้นป้ายหยุด ๑ วันเลขนำโชคให้ลูกค้าบ่น ถือเป็นสีสันของหมู่บ้าน

มาถึงช่วงโควิด ๑๙ ในต้นเดือนมีนาคม ที่โรคเริ่มแพร่ระบาด ในช่วงที่ปิดประเทศนาน ๓-๔ เดือนนี่ล่ะ ที่อยู่ในช่วงวิกฤติของทุกคน รวมถึงครอบครัวป้านวลที่มีเงินกู้ผ่านหน้าที่ไหน เธอยื่นเรื่องกูดะไปหมด ยื่นกู้ทั้งในระบบและนอกระบบ ส่วนเงินนอกระบบนั้น คือเงินกู้รายวัน ต้องส่งทุกวัน ดอกเบี้ยร้อยละ ๒๐ และมีเงินกู้อีกประเภทคือดอกลอย ต้องส่งแต่ดอกเบี้ยทุกวันเงินต้นไม่ลด เบ็ดเสร็จคิดดอกเบี้ยร้อยละ ๖ต่อเดือน

หากยามที่คนเรากำลังหน้ามืด ก็ต้องกู้ของใหม่ มาใส่ของเก่า เป็นเรื่องธรรมดา พอนานวันเข้านี่สิ ยอดเงินต้น ทั้งดอกลอย ดอกจม ย่อมทับทวีคูณรวมแล้วเป็นแสนบาท ป้นวลจึงจำเป็นต้องปิดร้าน พาลูกสาวขับรถไปหานอนตามบ้านญาติๆ จะกลับมาเอาของที่บ้านก็ราวตี ๒ ตี ๓ เพื่อไม่ต้องเจอผู้คน เพราะคนที่รักป้านวลก็มี คนที่ไม่ชอบหน้าป้านวลก็มีอยู่เช่นกัน

ท้ายที่สุดเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ป้านวลเธอปิดประกาศขายบ้านที่เป็นบ้านกึ่งร้านค้าหลังดังกล่าว แต่ไม่รู้ว่าเธอคาดคิดไม่ถึงหรืออย่างใด ที่ให้เบอร์ติดต่อ ซึ่งเป็นเบอร์ของน้องสาวเธอไป กลายเป็นว่าเจ้าหนี้ได้ติดตามจากเบอร์โทรศัพท์(ของน้องสาว)เลขมงคล ไปจนเจอบ้านที่พัก (ซึ่งอย่าคิดว่าแขกบังนั้นโง่นะคุณ ต้องอย่าลืมสิ วาการที่เขาบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาปล่อยเงินกู้ได้ ถ้าเส้นไม่ดีจริง คงมาประกอบอาชีพนี้ไม่ได้)

ต่อมาน้องสาวของป้านวล ได้ถูกแขกเจ้าหนี้ของป้านวลอุ้มใส่รถกระบะไปปล่อยให้ยุงกัดในป่ากลางไร่อ้อย นานคืนอย่างน่าสูงสาร ครั้นเมื่อน้องสาวหนีออกมาได้ ก็พากันไปแจ้งความ แต่ก็ให้เจ็บใจเพราะตำรวจบ่นด่าป้านวลว่า

“ถ้าป้าไม่ไปโกงเขาก่อน พวกเขาจะกล้าทำหรือ?” ดูตำรวจได้รับแจ้งความไปอย่างนั้น โดยไม่คิดติดตามคนร้าย ป้นวลบอก จากสถานการณ์นี้ ทำให้ญาติพี่น้องคนไหนไม่กล้าให้ที่พักพิงอีกต่อไป วันหนึ่งเรื่องที่ไม่คาดคิดได้เกิดขึ้นคือวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๖๓ ป้านวลเธอได้ตัดสินใจพาลูกสาวกลับมาแอบอยู่ในบ้าน ส่วนรถยนต์นั้นได้ฝากเพื่อนไว้อีกซอยทำนายฝัน

ดั่งที่ผู้เขียนบอก คนเรานั้นเมื่อมีคนรัก สงสาร เห็นใจ ย่อมมีคนเกลียดชังอิจฉาเป็นธรรมดา ซึ่งพอป้นวลกลับมานอนบ้านได้คืนเดียวเท่านั้น ทางเจ้าหนี้ก็ได้พากันแห่มาล้อมบ้าน ทั้งคนไทย และแขกบัง โดยช่วงเวลานั้นมันเหมือนการตีฆ้องร้องเปล่าอะไรสักอย่าง คือทำอย่างไรก็ได้ให้ป้านวลเธอออกมาคุย

กระทั่งถึงช่วงเย็น เจ้าหนี้พากันถอยกลับ เพราะตะโกนด่าให้แสบคออย่างไร ป้าคงไม่มีวันออกมาพูดคุยเป็นแน่ แมกระทั่งยามค่ำคืน ป้นวลคงปิดไฟเงียบ ใครที่เดินผ่านร้านแก จะได้ยินแต่เสียงวิทยุ โทรทัศน์ที่เปิดเบาๆ และจนย่างเข้าวันที่สอง คืนที่สอง เสียงจากวิทยุ โทรทัศน์ คงแว่วดังอยู่อย่างนั้น รายการต่อรายการที่เดียวส่วนในคืนที่สาม ป้านวลได้ไปเข้าฝันเพื่อนสนิท ที่เธอเอารถไปฝากแอบจอดบอกว่า

“อ้อย อ้อย กูเจ็บคอมาก มึงมาดูถูหน่อยสิ ไม่รู้เป็นอะไร และไอบีมันก็ร้องไห้บ่นอยู่ใกล้ๆ กูเนี่ย มันเจ็บคอเหมือนกัน” ซึ่งป้าอ้อย เพื่อนของป้านวลนั้นแกเล่าว่า เมื่อตื่นจากความฝัน ยังได้ยินเสียงคนร้องไห้อยู่ข้างหู และทันทีที่ทบทวนความฝัน เสียงแตรจากรถยนต์ของป้านวล ที่มาฝากไว้ ดังขึ้น ๒-๓ ครั้ง

นั่นล่ะ ป้อ้อยจึงคิดว่าไม่ดีแน่ ตกรุ่งเช้าจึงพาคนที่รู้จักเข้าไปดูป้านวล ข้ามรั้วไปเคาะประตูเรียกถึงในบ้าน ปรากฎไร้เสียงตอบรับ เพราะเรียกขานอย่างไร ก็มีเสียงวิทยุ หรือโทรทัศน์ดังแว่วอยู่อย่างนั้นสุดท้ายต้องพึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้มาเป็นสักขีพยานการงัดบ้าน และคนในกลุ่มนี้ได้มีผู้เขียนอยู่ร่วมเหตุการณ์ด้วยซึ่งทันทีที่เจ้าหน้าที่ทุบลูกบิดประตู จากที่คนกรูเตรียมเข้าไป ก็ต้องถอยผงะออกมาคนละก้าวสองก้าว

ในส่วนของผู้เขียนไม่กล้ามองร่างที่ห้อยจากราวบันไดได้แต่มองปลายเท้า ให้รับรู้ว่าแทงหวย ป้านวล และบี่ไม่อยู่แล้ว และการจากไปก็เป็นจุดๆ เดียวกับที่เอได้ผูกคอตาย เมื่อปี พ.ศ. 2557

อนิจจัง อนิจจา ชีวิตคนเราทำไมช่างบังเอิญได้ขนาดนี!ทั้งสามชีวิตได้มีจุดจบเดียวกัน ตรงที่ราวบันไดในส่วนของงานศพของป้านวลและลูกสาว ทางญาติได้ตัดสินใจตั้งสวดที่ด้านหน้าที่เคยเป็นที่ตั้งร้านข้าวแกงของป้านวลนี่ล่ะ มีการสวดพระอภิธรรม ๓ คืน เริ่มจากวันที่ ๔-๖ พฤศจิกายน และฌาปนกิจในวันเสาร์ที่ ๗ พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ซึ่งตลอดพิธีศพ สุนัขกี่ซอยในโครงการบ้านเอื้ออาทรจะพากันเห่าหอนรับช่วงตลอดตั้งแต่ตะวันตกดิน ไปจนถึงตี ๒ ดี ๓ และเพื่อนบ้านที่อยู่บ้านใกล้ชิดติดบ้านป้านวล ต่างพากันทยอยไปนอนตามบ้านญาติ…ถามใคร ใครก็บอกกลัวแม้ไม่เห็นตัวตน แต่เสียงหมาหอนรับช่วงติดกัน พาคนหลอน คิดไปต่างๆ นานาได้เหมือนกัน ทำนายฝัน

 

อุโมงค์ในพระปรางค์ วัดเชิงท่า

หลายครั้งก่อนผู้เขียนเคยพาท่านผู้อ่านมาชมวัดเชิงท่าที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาไปสองครั้งแล้วและจากครั้งแรกสุดมาครั้งที่สองก็นานที่เดียวกว่าที่ผู้เขียนจะได้กลับมาที่วัดเชิงท่าอีก จำได้ว่าคราวแรกที่ผู้เขียนมาที่วัดนี้แต่ไม่ทันได้เที่ยวชมได้ทั่ววัดก็มีอันต้องกลับเสียก่อน เพราะนํ้าท่วมส่วนครั้งที่แล้ว ผู้เขียนพาไปดูศาลาการเปรียญที่ติดค้างไว้แต่ครั้งแรก เพราะมีคนเล่าลือกันว่าศาลาการเปรียญเก่าแห่งนี้มีของที่น่ดูอยู่มากมาย อย่างธรรมาสน์เก่าแก่แต่ครั้งโบราณซึ่งหาดู หาชมยากมากเลขมงคล

lotto666

lotto666

ครั้งก่อนนั้นสบโอกาสดีเลยพาท่านผู้อ่านชมศาลาการเปรียญจนทั่วถึงแล้ว แต่ทว่าเรื่องราวในวัดเชิงท่านั้นยังไม่หมด ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่อีกนั่นคือ…คุโมงค์ในองค์พระปรางค์ที่วัดนี้สร้างไว้ทำไมกัน? ผู้เขียนว่าจะหาเวลาพูดถึงแต่ก็มัวแต่ค้นข้อมูล และออกหาเวลาพูดคุยเสาะถาม…กว่าที่จะสรุปเรื่องได้ครั้นคราวนี้ ครั้งที่สามที่ได้กลับมาถ่ายทำที่วัดนี้อีกก็เลยถือโอกาสพูดคุยและเล่าถึงเรื่องราวที่น่าสนใจในคราวนี้เสียเลยก่อนอื่นขอเท้าความถึงวัดเชิงท่าเสียนิดหน่อย สำหรับท่านที่ไม่เคยอ่านเรื่องราวของวัดนี้ จะได้เข้าใจอย่างง่ายๆ วัดเชิงท่าเป็นวัดเก่าแก่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเดิมที่วัดนี้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับป้อมท้ายสนม และปากคลองท่อ ซึ่งเป็นท่าข้ามเรือของเกาะเมืองมาขึ้นฝั่งที่วัดเชิงท่าด้วยความที่วัดเชิงท่าเป็นวัดเก่าแก่และไม่ปรากฎหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างขึ้นเมื่อใด และใครเป็นผู้สร้าง แต่คาดว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ผู้เขียนทำรายการสารคดีตามรอยละครบุพเพสันนิวาส ก็มีงานหนึ่งที่ต้องมาที่วัดนี้ เพราะวัดนี้เกี่ยวข้องกับหนึ่งในตัวละครสำคัญ ในละครชุดนั้น คือออกญาโกษาปานซึ่งเป็นที่ทราบมาว่ารัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เจ้าพระยาโกษาปานได้มาบูรณะปฏิสังขรณ์วัด แล้วได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดโกษาวาสต่อมาในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้มาบูรณะปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้อีกครั้งหนึ่งและภายหลังก่อนจะมาเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดชิงท่า”เลขนำโชควัดเชิงท่าในปัจจุบันมีอยู่สองส่วน ส่วนที่เป็นเขตสังฆาวาส และส่วนของโบราณสถานที่เหลืออยู่ส่วนของโบราณสถานนั้นมีหลายส่วนประกอบกัน ทั้งพระอุโบสถก่า สถูปเจดีย์เก่าแก่ที่หักพังลงเกือบหมด หรือส่วนของพระปรางค์ปราสาทเก่าซึ่งในที่นี้เราจะมาพูดถึงเรื่องนี้กัน “พระปรางค์ประธานและพระวิหาร เริ่มสร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนกลาง และได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในช่วงตอนปลายสมัยกรุงศรอยุธยา และหลงเหลือมาในปัจจุบัน คือเท่าที่ปรากฏให้เห็นในส่วนของโบราณสถานเพียงเท่านี้สำหรับการมาสำรวจในครั้งก่อน ผู้เขียนรู้เรื่องราวในส่วนนี้ แต่ยังไม่ได้ค้นข้อมูลว่ามีความสำคัญอย่างไรสำหรับช่องอุโมงค์ที่อยู่หลังองค์พระปรางค์ในวัดเชิงท่านี้เลขมงคล

มาคราวนี้มีโอกาสได้สำรวจอย่างเจาะลึก เลยพอจะเล่าขานกันให้ทราบได้ว่าอุโมงค์ที่ว่านั้นมีไว้เพื่ออะไรวิหารและองค์ปรางค์นี้ต้องหันมาทางทิศใต้ เพราะหันหน้าเข้ากับลำน้ำ ส่วนพระประธานที่เห็นอยู่นั้นไม่ใช่พระประธานเดิม องค์สีทองนี้เป็นของใหม่ เพราะองค์เดิมนั้นอยู่ทางด้านหลังแต่ชำรุดหักพังไปหมดแล้ว สันนิษฐานกันว่าองค์เดิมนั้นน่าจะเป็นพระพุทธรูปปางลีลา ดังพระพุทธรูปที่ประดับประดิษฐานเหลืออยู่ทางด้านข้าง ซึ่งแม้ส่วนล่างจะหักพังไปแล้ว แต่ท่าทางและขาที่ไม่ตรงแสดงให้เห็นถึงลักษณะเดิมของพระพุทธรูปได้ส่วนทางเดินประทักษิณ หรืออุโมงค์ที่อยู่ทางหลีบด้านหลังองค์พระปรางค์นั้นเป็นทางเดินช่องแคบๆ คล้ายกรุ แตทว่าทางเดินประทักษิณโดยทั่วไปจะสามารถเดินได้โดยรอบ

แต่ที่นี่ได้ดัดแปลงให้เหมือนกับเป็นสวรรค์ ซึ่งผิดกับทางเดินประทักษิณที่วัดพระศรี-มหาธาตุพิษณุโลก หรือที่เฉลียงที่นี่ทำเป็นทางเดินเหมือนกับลงจากสวรรค์ขั้นดาวดึงส์”ดูได้จากตัวเพดาน จะเห็นได้ว่าเพดานนี้เป็นเพดานที่เดินขึ้น เดิมที่น่าจะมีทางเดินเป็นบันได แต่ทว่าในปัจจุบันพังหมดแล้ว เหลือเพียงแต่ทางเดินลาดเอียงขึ้นซึ่งถ้าดูจากผนังจะเห็นทางลาดนี้ได้ชัดอย่างมาก หรือดูจากช่องหน้าต่างก็ได้ เพราะจะเห็นว่าหน้าต่างนั้นอยู่สูงขึ้นมาแต่ทว่า ทางเดินประทักษิณแห่งนี้มีความแปลกอยู่ที่ว่าไม่สามารถเดินได้โดยรอบ เพียงแค่สร้างไว้หลอกๆ สมมติเป็นทางเดินประทักษิณเต็ม แต่เดินได้เพียงครึ่งเดียวก็สุดทาง ต้องเดินย้อนกลับเท่าที่ทราบเหมือนคนโบราณพยายามสร้างไว้เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ ที่แทนบันไดที่พระพุทธองค์เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งถ้าขึ้นไปในมุมสูงและมองจากฝ้าเพดานจะเห็นการต่างระดับได้อย่างชัดเจนซึ่งเป็นการสร้างอย่างทางเดินที่ค่อยๆ ลดระดับลงไปการแปลงทางประทักษิณ รอบพระปรางค์ให้กลายเป็นบันไดสำหรับพระพุทธเจ้าที่เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ถือให้เห็นถึงการสะท้อนการเปลี่ยนแบบแผนและก็คติความเชื่อที่เกิดขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งแต่เดิมพระปรางค์เคยอยู่ที่เขาพระสุเมรุและต่อมาพระปรางค์ถูกแปลงให้เป็นสวรรค์ขั้นดาวดึงส์ และปรากฎพระพุทธรูปปางลีลาและปรากฏการทำบันไดที่ลงมาจากสวรรค์ในยุคนี้ และในยุคนี้พระปรางค์ทั่วๆ ไปจะเริ่มมีบันไดยื่นออกมาจากทางตอนหน้าเหมือนกันไปหมด เป็นการบอกกล่าวและเปลี่ยนแปลงไปดังที่ได้กล่าวมาแล้วทำนายฝัน

ส่วนวัดเชิงท่านั้นมีบันไดเหมือนกัน แต่ไม่ใช่บันไดที่ยื่นมาด้านหน้าองค์ปรางค์เหมือนที่อื่น เพราะติดที่ด้านหน้าของพระปรางค์ที่นี่มีพระวิหาร และด้านข้างเลขนำโชคก็มีพระวิหารอีกซึ่งเป็นแบบแผนที่จะสร้างให้มีพระวิหารสี่ทิศ สุดท้ายช่างก็เลยแปลงบันไดแก้วที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงนั้นให้มาอยู่ในบริเวณทางประทักษิณรอบพระปรางค์แทนซึ่งเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงทัศนคติในพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งพระปรางค์ย่อมุมไม้สิบสองนี้เป็นศิลปกรรมที่ปรากฏชัดในราชวงศ์พระร่วง สมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา สมเด็จพระนเรศวร พระเอกาทศรถ และพระเจ้าทรงธรรมเป็นต้นไปดังนั้นนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีความแปลกและน่าพิศวงหากท่านที่มาชมและไม่รู้ประวัติก็จะไม่เข้าใจถึงทัศนคติของคนโบราณสมัยก่อนที่มีต่อพระพุทธศาสนา

ซึ่งในการมาคราวแรกและครั้งที่สองนั้น แม้ผู้เขียนจะพบแต่ก็ยังไม่ทราบประวัติเรื่องราวและทางเดินหลังองค์ปรางค์องค์นี้มาก จนกลับไปค้นเรื่องที่สงสัย และอ่านเจอถึงนำมาเผยแพร่ในคราวนี้ซึ่งคราวแรกที่ผู้เขียนพบเห็นและมาสำรวจทางเดินนี้นั้น คิดว่าจะเป็นเรื่องราวอย่างเดียวกับ ทางเดินหลังองค์พระนอนที่วัดพระพุทธไสยาสนเพชรบุรี เสียอีกที่มีเรื่องราวลึกลับอยู่ด้วย แต่ทว่าทางเดินหลังองค์ปรางค์ที่วัดเชิงท่านี้ กลับไม่ใช่เรื่องลึกลับอย่างนั้น กลายเป็นเรื่องราวความเชื่อ และพุทธคติไปเสีย ซึ่งทุกอย่างก็กระจ่างกันแล้ว ท่านที่ไปเที่ยวชมวัดเชิงท่าอย่างไรเสียก็ลองเดินชม หรือเข้าไปชมทางประทักษิณนี้ได้ครับเพราะไหนๆ ไปถึงที่ทั้งที่แล้วก็ควรจะไปชมอะไรให้ครบเสียเลยวันนั้นผู้เขียนอยู่ถ่ายรูปอีกสักพักใหญ่ ก็เอาแล้วเริ่มได้ยินเสียง ลังๆ เล้งๆ ช้งๆ เช้งๆของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่กำลังเคลื่อนพลมาทางนี้ ทำให้ผู้เขียนรีบถ่ายรูปอีกสองสามรูป แล้วก็รีบมาขึ้นรถออกมาทันที

แล้วก็จริงดังว่าเพราะเวลานี้แทงหวยนักท่องเที่ยวชายหญิงกำลังเดินเข้ามาเที่ยวในส่วนโบราณสถานและองค์พระปรางค์ และส่งเสียงคุยกัน หยอกล้อกันจนดังไปทั่ว บางครั้งที่เห็นกรุ๊ปทัวร์อย่างนี้ เราจะพูดอะไรหรือจะแสดงออกอย่างไรก็ไม่ดีนักเพราะการที่มีกรุ๊ปทัวร์มาที่วัดก็เท่ากับทำให้วัดพอมีรายได้ ดังนั้น เรื่องเรื่องอย่างนี้หลายครั้งจำต้องทำเป็นไม่เห็นเสียบ้างก็จะสบายใจไปได้เหมือนกัน แม้หลายครั้งจะเกิดความรำคาญในใจบ้างก็ตามผู้เขียนเห็นอย่างนั้นจึงรีบออกมาทางหน้าวัดเชิงท่าแล้วออกรถไปทางขวามือ แล้วไปตามทางเล็กแคบๆ นั้นก็สามารถมาออกที่วัดหน้าพระเมรุได้ ยังไงคงสำรวจวัดหน้าพระเมรุต่อ เรื่องราวและความสงสัยในทางเดินหลังองค์พระปรางค์ที่วัดเชิงท่า คงถูกไขกระจ่างในคราวนี้แล้วนะครับ

 

Continue Reading
Click to comment

Leave a Reply

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *