Connect with us

สถานที่ขอหวย

หวยพารวย เลขเด็ด เลขมงคล โชคลาภ จากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

Published

on

Lekded-Huay1

ต้นไทร ศักดิ์สิทธิ์

เมื่อเอ่ยถึงอุทยานน้ำตกกวางโจ บางท่านก็คงจะนึกถึงเมืองหนึ่งของเมืองจีน แต่ตามเป็นจริงชื่อ “อุทยานน้ำตกกวางโจ” นั้นเป็นชื่ออุทยานน้ำตกแห่งหนึ่งของจังหวัดเพชรบุรีซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงามแปลกและไม่เหมือนที่อื่น ใครได้ไปสัมผัสแล้วเชื่อว่า คงจะชื่นชอบและประทับใจอย่างแน่นอน

ส่วนคำว่า “กวางโจ” เดิมมีชื่อว่า “กวางโจน” ต่อมาได้มีกรเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “กวางโจ” ในปัจจุบัน “กวางโจ” นั้นเป็นภาษากระเหรี่ยง กวาง หมายถึง สัตว์ทั่วไป “โจว” แปลว่าใหญ่หรือพี่คนโต รวความว่า “สถานที่ตรงนี้เป็นที่อยู่ของกวางตัวใหญ่ในสมัยก่อน (ไม่ใช่ภาษาจีน)

นี่จึงเป็นที่มาของอุทยานน้ำตกกวางโจ”จนถึงปัจจุบัน ซึ่งบางท่านสงสัยว่า ทำไมจึงชื่อว่า “กวางโจว”

จากจุดเริ่มตันเดิมนั้นที่แห่งนี้แห้งแล้วมากต่อมาด้วยความร่วมมือร่วมใจของคนในชุมชนพาร่วมกันพัฒนาพลิกพื้นป้าแห่งนั้นเสื่อมโทรมจากการบุกรุกทำลายป่า เผาป่าทำไร่เลื่อนลอยหลังจากที่ได้มีการพัฒนาตามแนวพระราชดำริแล้ว ผืนป่าแห่งนี้ก็กลับมาสวยงามอีกครั้งหนึ่งสัตว์ป่าน้อยใหญ่ที่หายก็กลับมาเหมือนเดิมปัจจุบันภายในอุทยานน้ำตกกวางโจว นั้นมีตลาดน้ำกลางปที่มีชาวบ้านนำของมาขายหลากหลายอาหารทั้งหมดูปลอดโฟม ภาชนะที่ใส่อาหารและเครื่องดื่มจะเป็นภาชนะที่เป็นสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ อาทิ จานกระบอกไม้ไผ่ แก้วไม้ไผ่ ใบบัว เหล่านี้เป็นต้น

มีสินค้าราคาย่อมเยา มีลานเล่นน้ำ มีฝูงปลาธรรมชาติ นั่งเรือชมวิวชมป่า และมีน้ำตกชั้นต่าง ๆ และมีกิจกรรมต่าง ๆ มากมายกล่าวได้ว่าอุทยานน้ำตกกวางโจว มันว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่แปลก มีธรรมชาติทสวยงาม ร่มรื่นเย็นสบาย มีอาหารพื้นบ้านมากมาย พ่อค้าแม่ค้าอัธยาศัยดีมีไมตรีกันทุกคน 

 

Lekded-Huay

Lekded-Huay

 

เมื่อท่านเรามาอันดับแรกเดินเข้าซุ้มไม้ไผ่ที่ร่มรื่น ถัดมาเรื่อย ๆ จะเป็นร้านชาวบ้านของของโบราณมีทั้งของกินใช้มากมาย ต่อจากนั้นก็จะเป็นทางลงไปสู่แพตลาดน้ำซึ่งมีร้านอาหารหลากหลาย มีภาชนะใส่อาหารเป็นกระบอกไม้ไผ่ใบตอง ใบบัวตามธรรมชาติ ดังที่กล่าว ส่วนแพที่นั่ง นั่งได้ทุกแพ และมีพ่อค้าแม่ค้าพายเรือขายของด้วย เรียกว่าบรรยากาศดีธรรมชาติงดงาม เหมาะแก่การพักผ่อนยิ่งนัก บรรยายสถานท่องเที่ยวอุทยานน้ำตกวางโจมาพอสังเขปแล้ว ท่านผู้อ่านที่เคารพรักคงจะได้ทราบความเป็นมาและสถานที่เรียบร้อยแล้วต่อไปผู้เขียนจะขอนำเรื่องราวของความศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่ง ภายในอุทยานน้ำตกกวางโจว ซึ่งอยู่ห่างจากตลาดน้ำกวางโจวไม่มากนักสามารถเดินเข้าไปได้ 

ชาวบ้านหลายคนที่เดินทางไปเที่ยวอุทยานน้ำตกกวางโจวแล้ว ซึ่งอยู่ห่างจากตลาดน้ำกวางโจวไม่มากนัก สามารถเดินเข้าไปได้ ชาวบ้านหลายคนที่เดินทางไปเที่ยวอุทยานน้ำตกกวางโจวแล้ว ส่วนใหญ่มักจะแวะเข้าไปกราบไหว้ขอโชคขอลาภ และมีประสบผลสำเร็จถูกหวยร่ำรวยไปตาม ๆ กัน ดังที่หลายคนพอจะหารอกันบ้างแล้ว ต้นไทรศักดิ์สิทธิ์ นับว่าเป็นแหล่งที่พึ่งทางจิตใจอีกแห่งหนึ่งภายในอุทยานน้ำตกกวางโจวเมื่อใครได้พบเห็นมักจะตามศรัทธาเลื่อมใสพาเข้าไปกราบไหว้ และก็จะประสบผลสำเร็จตามที่หวังไว้ทุกเรื่อง ส่วนประวัติความเป็นมาของต้นไทรศักดิ์สิทธิ์ได้มีการเล่าสืบต่อ ๆ กันมา และมีการบันทึกไว้ว่า “เดิมเป็นต้นไทรที่เก่าแก่มากไม่ทราบว่าใครปลูกหรือขึ้นมาเองตามธรรมชาติ อยู่ข้างร่องน้ำที่มากระแสน้ำพัดผ่าน และได้ถูกน้ำกัดเชาะกร่อนไปเรื่อย ๆ ปัจจุบันทางอุทยานจึงได้มีการถมที่ และเปลี่ยนร่องน้ำใหม่เพื่อให้ห่างจากต้นไทร”

เดิมต้นไทรต้นที่เล่ากันว่าเป็นสถานที่พักหลบภัยของบรรดาสัตว์ป่าทั้งหลายเพราะร่มเย็นและ ปราศจากผู้คนรบกวนและไม่มีใครเข้าล่าสัตว์ที่มาพักอาศัยนี่ได้เลย เพราะจะเกิดอาถรรพ์ต่าง ๆ เกิดขึ้น หรือถ้าใครมาจุดไฟ ตัดแต่งกิ่งไทร ขุดดินบริเวณโคนต้น ในยมค่ำคืนก็จะมีนางไม้ที่สิงสถิตอยู่ไปเข้าฝัน ไปหาที่บ้านในยามค่ำคืนหรือเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นทันทีโดยไม่ทราบสาเหตุ

ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้จึงทำให้ต้นไทรเป็นที่กล่าวขานและร่ำลือกันมาตลอด และภายหลังได้มีผู้คนจำนวนมากที่เดินทางมาเที่ยวอุทยานน้ำตกกวางโจวมากราบไหว้แล้วประสบผลสำเร็จในหลาย ๆ เรื่อง บางรายชื่อการเจ็บป่วยรักษาไม่หาย พอมากราบไหว้บนบานอาการของโรคก็หายเป็นปกติ บางรายแต่งงานมาหลายปีไม่มีบุตรไว้สืบสกุลก็ได้สมใจนึก สอบเข้าทำงาน สองเข้าเรียนต่อ ความรัก ตำแหน่งหน้าที่การงาน เกณฑ์ทหาร คดีความ หนี้ลินต่าง ๆ และอื่นอีกหลายเรื่อง แต่ที่โคนเด่นและเป็นที่สนใจกันมากก็คือในเรื่องของทางด้านโชคลาภ ซึ่งในแต่ละวันจะได้ยินเรื่องการเขย่าคิ้ว ดังตลอดเวลา เพราะบรรดานักเสี่ยงโชคส่วนใหญ่จะเชื่อว่าต้นไทรต้นนี้ให้โชคลาภแม่นมากนั่นเอง 

เพราะท่านสอบถามและพูดคุยกับบรรดาพ่อค้าและแม่ด้ จ้าหน้าที่ดูแลอุทยาน และอีกหลายคนก็บอกว่าเรื่องทางด้านโชคลาภนั้นเป็นความเชื่อส่วนบุคคล บางคนทางดีก็มีโชคลาภก็ถูกตรง ๆ บางคนไม่มีดวงหรือวาสนาไม่มีก็อาจจะไม่ถูก แต่ส่วนใหญ่เท่ที่มากราบไหว้บนบานขอมักจะถูกเป็นประจำมากบ้างน้อยบ้าง โดยเฉพาะคนไกล ๆ ที่อยู่ต่างถิ่นต่างจังหวัดต้นไกรศักดิ์สิทธิ์ ดังกล่าวนี้ใครที่ไปเที่ยวชมอุทยานน้ำตกกวางโจวแล้ว สังเกตดีดีจะสู่เส้นทางบอกไว้อย่างชัดเจน กล่าวง่ายก็คือต้นไกรศักดิ์สิทธิ์นี้อยู่ใกล้ตลาดน้ำหรือแพที่ท่านนั่งรับประทานอาหาร

ทางเข้าจะเป็นถนนเล็ก ๆ ลัดเลาะเข้าไปมีธรรมชาติที่ร่มนเงียบสงบ พอเข้าไปจึงจะเป็นลานดินกว้าง ภายในจะมีแท่นบูชาและชุดไทยสวย ๆ งาม ๆ หลากหลายสีแขวนไว้ภายใต้หลังคาผ้าใบ นอกจกนี้โต๊ะเครื่องแป้ง เครื่องสำอาง ตู้เก็บเสื้อผ้าอื่น ๆ จิปาถะส่วนด้านหลังแท่นบูชาก็จะเป็นต้นไทรเก่าแก่แผ่กิ่งก้านสาขาเต็มพื้นที่พร้อมกับมีศาลไม้หลังคามุงสังกะสีอีกหนึ่งหลังอยู่ที่บริเวณโคนต้น

ส่วนบนแท่นบูชาก็มีสิ่งของจำพวกเครื่องคาวหวาน น้ำแดง หมากพลู พวงมาลัย ผลไม้ ฯลฯ ถัดมาเป็นแผ่นป้ายคำอธิษฐานขอพรเป็นภาษาไทย และภาษากระเหรี่ยง ผู้เขียนขออนุญาตนำคำขอพรมาลงให้ทราบด้วย เพราะว่ามีบางท่านอาจจะไม่มีโอกาสได้ไม่กราบไหว้ แต่ถ้าจุดธูปเทียนบอกกล่าวขานคำที่นำมาเสนอก็จะประสบผลสำเร็จได้เช่นกัน เพราะเล่าว่า บางครั้งนางไม้ที่สิงสถิตอยู่ไปเข้าฝันช่วยเหลือท่านในเรื่องต่าง ๆ ได้ราวปาฏิหาริย์ หรือบางครั้งก็ไปเข้าฝันบอกเลขเด็ดให้ จริงเท็จอย่างไรไม่กล้ายืนยันเพราะได้รับคำบอกเล่ามาอีกที “คำขอพรจากแผ่นป้ายต้นหน้าแท่นบูชามีดังนี้ (ภาษาไทย)” โชคลาภ

 

ลำดับแรกให้ท่องนะโม 3 จบ ต่อจากนั้นได้กล่าวดังนี้

วันทามิ นะมะพะทะ อิติสุขะโต อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ นางไม้ นางฟ้า พระภู มะเทวาที่อยู่ ณ ตันไทรแห่งนี้ ชะมามิหัง ขอให้ชวยข้าพเจ้า (ขออะไรให้บอกตามที่ตั้งใจไว้) ถ้าได้สำเร็จดังหวัง จะนำของมาถวายแก้บนได้แก่ (ถวายอะไรให้บอก) สาธุ สาธุ อิ ติมีมาชะมามิหัง”

ในวันที่ผู้เขียนเดินทางไปเที่ยวชมอุทยานน้ำตกกวางโจว และได้เข้าไปกราบไหว้ขออนุญาตนำเรื่องราวของตันไกรศักดิ์สิทธิ์มาเผยแพร่ ก็ได้พบว่า ในวันนั้นมีผู้คนมาเที่ยวชมและกราบไหว้ต้นไทศักดิ์สิทธิ์ตลอดเวลา เลขเด็ด เนื่องจากเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ (เพราะเท่าที่ทราบอุทยานน้ำตกกวางโจวแห่งนี้เบิกให้เที่ยวชมในวันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์)

ครั้นพอสบโอกาสผู้เขียนก็ได้เข้าไปขออนุญาต ชายวัยกลางคนหนึ่ง ซึ่งทราบภายหลังว่ามาจากต่างจังหวัดและเคยมาเที่ยวที่นี่และมากราบไหว้ต้นไทรและประสบผลสำเร็จในด้านการทำธุรกิจ

ซึ่งชายกลางคนดังกล่าวได้บอกกับผู้เขียนว่า “มากราบไหว้ต้นไทรทุกครั้งที่เดินทางมาเที่ยวอุทยานน้ำตกกวางโจว และมีบนบานเกี่ยวกับเรื่องการทำธุรกิจส่วนตัวของคนเอง และก็ประสบผลสำเร็จอย่างเหลือเชื่อ ค้าขายกล่องเงินทองไหลมาเทมาอย่างน่าอัศจรรย์” โชคลาภ

บางรายก็มาขอทางด้านโชคลาภ โดยวิธีการเขยคิ้ว นักเรียนนักศึกษาก็มาขอให้สอบได้คะแนนดีสอบเข้าทำงานได้กล่าวได้ว่าในวันนั้นมีผู้คนทั่วไปมากราบไหว้บนบานหลายเรื่องด้วยกัน แต่ที่โดดเด่นก็เห็นเป็นเรื่องทางด้านขอโชคลาภ โชคลาภ

บางรายต้องมีการนำชุดไทย รองเท้า ของแก้บนต่าง ๆ มาถวายให้ด้วย โดยเฉพาะชุดไทยมีมาตลอด เพราะเชื่อกันสิงสถิตอยู่ในตันไทรท่านชอบ ดังนั้นปัจจุบันเราจึงเห็นชุดไทยทั้งเก่าและใหม่แขวนเรียงรายเต็มรอบบริเวณพื้นที่นับว่าเป็นเครื่องยืนยันและเป็นหลักฐานได้ว่าซึ่งชุดไทยและของแก้บนต่าง ๆ เหล่านั้นต้นไทรแห่งนี้คงจะมีความศักดิ์สิทธิ์จริง ถ้าไม่อย่างงั้นชุดไทยและเครื่องบนบานต่าง ๆ คงจะไม่มากมายกว่านี้แน่นอน

ฉะนั้นใครที่ได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวชมอุทยานน้ำตกกวางโจว ที่จังหวัดเพชรบุรี ทีสวยงามร่มรื่นด้วยธรรมชาติแปลกและไม่เหมือนที่อื่น เสมือนท่านโชคดีได้ทั้งการพักผ่อนที่เป็นธรรมชาติอกาศสดซี่น อาหารอร่อยและแปลกตามีทั้งไทยกระเหรี่ยง การต้อนรับที่อบอุ่นสถานที่จอดรถสะดวกสบาย แถมยังได้กราบไหว้ต้นไกรศักดิ์สิทธิ์ที่เก่าแก่ เฮี้ยนและศักดิ์สิทธิ์บันดาลโชคลาภและช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ให้ประสบผลสำเร็จราวปาฏิหาริย์ เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยทีเดียว โชคลาภ

การเดินทางไปยังอุทยานน้ำตกกวางโจวนั้นเข้าได้หลายทาง ไปมาสะดวกสบายรถเข้าถึงที่จากกรุงเทพมหานคร ใช้เวถาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงเศษก็ถึงแล้ว จะเริ่มต้นจากตัวเมืองเพชรบุรีก็ได้ หรือจากกรุงเทพมาตามถนนเพชรเกษม ก่อนเข้าถึงเมืองเพชรจะมีสะพานข้ามถนน ท่านขับรถเลี้ยวซ้ายขึ้นสะพาน เลี้ยวขวาตรงไปเรื่อย ๆ ผ่านเขื่อนแก่งกระจาน ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตรเศษ ๆ หรือจะเข้าทางเส้นอื่นก็ได้เช่นกัน 

เขาไปไม่ถูกก็ให้ลองสอบถามชาวบ้านย่านริมถนนดู เพราะเท่าที่ทราบส่วนใหญ่จะรู้จักอุทยานน้ำตกกวางโจวแทบทุกคน เชื่อว่าท่านมีโอกาสเดินทางเข้าไปเที่ยวชมอุทยานน้ำตกกวางโจวและกราบไหว้ขอโชคลาภต้นไกรศักดิ์สิทธิ์ที่เก่าแก่และเฮี้ยนสุด ๆ คงจะชื่นชอบบรรยากาศและคงจะต้องกลับไปเยือนอีกครั้งแน่นอน

ต่อจากนั้นหลังจากที่ท่านไปเที่ยวชมอุทยานน้ำตกกวางโจวแล้วใกล้ ๆ กันก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งคือเขื่อนแก่งกระจานและโครงการชั่งหัวมันตามแนวพระราชดำริของรัชกาลที่เก้า ซึ่งสถานแห่งนี้มีอะไรดีดีหลายอย่างที่น่าศึกษาเรียนรู้

ส่วนเรื่องของต้นไกรศักดิ์สิทธิ์ภายในอุทยานน้ำตกกวางโจวที่ก่นผู้อ่านที่เคารพรักอ่นอยู่ในขณะนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะครับขอให้ทุกท่านโชคดี มีความสุขตลอดไป

 

อภินิหารศักดิ์สิทธิ์พระพุทธรูปสวมแว่น

ถึงแม้กาลเวลาจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตามที่ ชื่อเสียงและอภินิหารของหลวงปู่วัดโกรกกรากก็ยังมีผู้กล่าวถึงและแวะเวียนเข้าไปกราบไหว้บนบานตลอดเวลา ยิ่งถ้าเป็นช่วงงานประจำด้วยแล้ว ผู้คนทั่วไปจะหลากไหลเข้ามายังบริเวรวัดอย่างเนืองแน่น บางรายที่บนบานไว้ก็จะนำเอาละครลิเก ภาพยนต์ดนตรีมาแก้บนตลอดทั้งงาน 

หลวงปู่วัดโกรกกราก ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ภายในอุโบสถไม้สัก ซึ่งขณะนี้ก็กำลังมีการสร้างอุโบสถหลังใหม่ที่ใหญ่โตมากใกล้จะแล้วเสร็จสมบูรณ์แล้ว ทั้งนี้ก็เพราะบารมีของหลวงพ่อส่วนหนึ่งที่ช่วยเหลือทั้งด้านการก่อสร้างด้วย หวยพารวย โชคลาภ

สำหรับประวัติและความเป็นมาของหลวงปูวัดโกรกกรากนั้นบางท่านอาจจะทราบดีอยู่แล้วแต่บางท่านก็อาจจะยังไม่ทราบหรือทราบแล้วแค่จำไม่ได้ โกาสนี้จึงขอนำประวัติมาให้ทราบเพื่อเป็นการทบทวนไปในตัว หวยพารวย

หลวงพ่อนั้น ตามประวัติเคยประดิษฐานอยู่ที่วัดช่องสะเดา ซึ่งเป็นวัดร้างเก่าแก่ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำท่จีนมีสิ่งก่อสร้าง ต่าง ๆ ปรักหักพังหมดแล้ว ต่อมาชาวรามัญหรือชาวบ้านมอญบ้านกำพร้าเห็นเข้าจึงได้มีการอัญเชิญมาทางเรือสององค์ องค์หนึ่งเป็นเนื้อสำริด อีกองค์หนึ่งเป็นเนื้อศิลาแลง ล่องเรือมาตามลำน้ำท่าจีนครั้นพอเรือใกล้จะถึงหน้าวัดโกรกกรากได้เกิดฝนกระหน่ำอย่างหนักล่องเรือต่อไปไม่ได้ จึงนำเรือมาจอดหลบบนอยู่ที่ริมคลองข้างวัด พอจอดเรือเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ต่างก็ช่วยกันยกศิลาแลงขึ้นมาไว้บนฝั่ง เพื่อไม่ให้ถูกน้ำฝนกัดเซาะและเมื่อลมฝนสงบแล้ว จึงได้ยกพระศิลาแลงลงเรือเพื่อจะล่องต่อไป หวยพารวย

 

Lekded-Huay2

Lekded-Huay2

 

แค่ผลปรากฏว่ายกไม่ขึ้นนำอย่างไรก็ยกไม่ขึ้นสร้างควมแปลกประหลาดใจเย็นอย่างมากหนึ่งในจำนวนชาวรามัญบ้านกำพร้าที่อยู่ในเหตุกาณ์คนหนึ่งได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า “ถ้าพระศิลาแลงจะมาอยู่ที่วัดโกรกกรากก็จะขออัญเชิญให้ไปประดิษฐนอยู่ภายในอุโบสถ หลังจากอธิษฐานเสร็ปรากฎยกขึ้นอย่างง่ายดาย และนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาทางวัดโกรกกรากจึงมีพระศิลา นามว่า “หลวงปู่” เป็นพระประธานในอุโบสถตั้งแต่บัดนั้นเป็นตันมา หวยพารวย

ครั้นเมื่อพระศิลาแลงประดิษฐานอยู่ภายในอุโบสถวัดโกรกกรากแล้ว ชาวบ้านในละแวกนั้นที่เลื่อมใสศรัทธต่งก็เดินทางมากราบไหว้ และก็ประสบผลสำเร็จตามที่บนบานไว้ แทบทุกเรื่อเรื่อยมา ส่วนสาเหตุที่หลวงพ่อปู่ใส่แว่นตาดำนั้นเนื่องจากครั้งหนึ่งชาวบ้านในบริเวณย่านนี้เกิดโรคตแดงระบาดทั่วไป ด้านการแพทย์ยังไม่เจริญ การรักษาก็รักษาตามมีตามเกิดแต่ก็ไม่หายภายหลังชาวบ้านที่มีความเลื่อมใสศรัทธาในองค์พระศิลาแลงหรือหลวงพ่อปู่จึงได้พากันมาบนบานศาลกล่าวให้ช่วยเหลือ ถ้าพวกคนหายจากอาการตาแดงตาเจ็บ จะนำแผ่นทองคำเปลวเปิดที่ดวงตาให้ ผลปรากฏว่าชาวบ้านเหล่านั้นหายตาแดงทั้งหมู่บ้านหลังจากนั้นชาวบ้านจึงได้นำแผ่นทองคำเปลวมาปิดที่ดวงตาของพระศิลาแลง (หลวงพ่อปู) เต็มไปหมด

ครั้นต่อมาเมื่อพระครูธรรมสาคร ญาณวุฒโน หรือหลวงกรับ ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าตามปกครองดูแลวัดนี้เห็นเข้าจึงคิดหาอุบายเพื่อที่จะไม่ให้ชาวบ้านและญาติโยมปิดทองคำเปลวที่ดวงตาพระศิลาแลง (หลวงปู)จึงได้นำแว่นตาดำมาสวมใส่ให้และหลังจากที่องค์พระศิลาแลง (หลวงพ่อ)สวมแว่นตาแล้ว ชาวบ้านในย่านนั้นและใกล้เคียงจึงได้นำแว่นตามากมายแทนการปิดทองคำเปลวและถือปฏิบัติเป็นประเพณีสืบทอดตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และขนานนามท่านว่า”หลวงพ่อปู” ตราบถึงทุกวันนี้ โชคลาภ

นอกจากนี้ยังเล่าสืบต่อ ๆ มาว่า โชคลาภ ในอดีตที่ผ่านมาหมู่บ้านห่ฉลอมและบ้านทจีนเป็นเมืองที่มีการนำมาค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าของชาวจีนโพ้นทะเล ซึ่งสมัยนี้มักจะใช้เรื่องสำเกาในสองเราบรรทุกสินค้าเข้ามา ครั้นพอเรือแล่นผ่านหน้าวัดโกรกกราก ก็จะมีกาจุดประทัดไหว้พ่อปู่ เพื่อขอบารมีขอพรให้ขายสินค้าดี พอสินค้าขายหมดเดินกลับก็จุดประทัดขอให้เดินทางกับถิ่นฐานด้วยความปลอดภัยและก็ปลอดภัยทุกลำจริง ซึ่งชาวจีนในสมัยนั้นการยึดถือปฏิบัติจนกลายเป็นประเพณีบทอดเรื่อยมาที่มีกาติดต่อค้าขายทางเรือในด้านอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อวัดโกรกกรากนั้น มีมานานแล้วจนกลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ชาวประมงในด้านเวลาจะออกหาปลากลางทะเล เมื่อขับเรือผ่านหน้าวัดก็จะมีการจุดประกัด***แทบทุกลำ เพราะเชื่อกันว่าจะแคล้วคลาดปลอดภัยจากคลิ่นลมทะเล จับปลาได้มากและก็เป็นจริงเสมอ เคยมีชาวประมงคนหนึ่งออกทะเลและพลัดตกจากเรือโดยไม่ทราบสาเหตุ ลอยอยู่กลางทะเลเป็นเวลาหลายวันหลายคืน แค่รอดชีวิตกลับมาอย่างปลอดภัย ครั้งเมื่อสอบถามจึงรู้ว่าหลวงพ่อปู่ช่วยชีวิตไว้ โดยระหว่างที่ลอยคออยู่ก็นึกถึงแค่หลวงปู่ตลอดเวลา จนกระทั่งมีเรือประมงลำหนึ่มาพบเข้าและช่วยนำขึ้นมาบนเรืออย่างปลอดภัย

บรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่ประกอบอาชีพทางการค้าขาย ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าและแม่ค้าตลาดนัดใกล้วัดเวลาจะเปิดร้านขายของก็จะมีการจุดธูปเทียนบอกกล่าวให้ช่วยขายให้ดีดีมีลูกค้ามาอุดหนุนเยอะ ๆ และก็เป็นจริงขายดิบขายดีเหมือนขายเทน้ำเทท่า ซึ่งเป็นเรื่องแปลกแต่จริง จะเรียกว่าเป็นการบังเอิญก็ไม่ใช่ ชาวบ้านในละแวกนี้เวลาขับรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ ส่วนใหญ่เมื่อขับรถผ่านหน้าอุโบสถซึ่งเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อปู่ก็จะมีบีบแตรเสียงดังเพื่อเป็นแสดงความเคารพ ดังนี้เราจะได้เห็นและได้ยินเรื่องบีบแตรรถดังอยู่ตลอดเวลา โชคลาภ

ส่วนคนที่ไม่บีบแตรแสดงความเคารพ เท่าที่ทราบก็จะมีบางคนขับรถไปเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำ หรือไม่ประสบอุบัติชนกัน บางทีขับมาดีดีเครื่องยนต์ขัดข้องดับไปเฉย ๆ แก้ไขอย่างไรก็ไม่ติดครั้นเมื่อมาขอขมาบอกกล่ากับหลวงพ่อปอาการของเครื่องยนต์ก็ปกติ โชคลาภ

ครึ่งหนึ่งในอดีตที่ผ่านมามีหมอที่เก่งกล้าทางไสยศาสตร์ไสยเวทย์ได้มองเห็นในองค์หลวงพ่อว่าเป็นทองจึงเกิดความโลภอยากที่จะได้ทองคำนั้น คืนหนึ่งได้มีการลักลอบเข้าไปเจาะที่บริเวณช่องท้องของหลวงพ่อปู่ แค่ปรากฏว่าไม่พบทองพบอะไรก็ไม่ทราบได้ ภายหลังต่อมาเกิดสติบคลั่งและเสียชีวิตนเวลาต่อมา

ต่อมาพระครูธรรมสาคร หรือหลวงปู่กรับได้ลงไปทำวัตรเช้าในอุโบสถได้พบเข้าจึงได้นำทองคลุกรักษ์อุดรอยเจาะนั้นไว้ และทำพิธีบวงสรวงสักการะ ซึ่งตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนอ้าย (ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 1) และในวันนี้ของทุกๆ ปีจึงเป็นที่มารของวันหลวงพ่อปู่ ซึ่งในอดีตเรียกกันว่า “วันแซยิดหลวงพ่อปู” โชคลาภ

ปัจจุบันนี้หลวงพ่อปู่วัดโกรกกรากทุกวันจะมีประชาชนจากทั่วสารทิศเดินทางเข้าไปกราบไหว้ตลอดเวลา เรื่องประทัดจะตั้งไม่ขาดระยะ เพราะเชื่อกันว่าท่านชอบ ยิ่งถ้าเป็นช่วยงานประจำปีปิดทองหลวงพ่อปู่ในช่วงกลางเดือนยื่ ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 2 หรือประมาณเดือนมกราคมของทุกปี จะมีประชาชนเดินทางมาเที่ยงชมงานและปิดทองหลวงพ่ออย่างล้นหลาม รถราติดตั้งแต่ปากทางเข้า วัดนี้เคยกว้างขวางและใหญ่โตแคบไปถนัดตามหรสพทุกอย่างชมพรึไม่ว่าจะเป็นคนตรีภาพยนตร์ ลิเก ละคร จริงหรือไม่ออกเดินทางมาเที่ยวชมกันสักครั้งหนึ่ง แล้วท่านจะรู้ว่าคนล้นหลามตามที่ผู้เขียนบอกหรือไม่ และสาเหตุที่ผู้คนทั่วไปพากันมาปิดทองหลวงพ่อปู่กันอย่างลันหลามนั้นคิดว่าอาจจะเป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของท่านพี่แผ่ไพศาล ช่วยเหลือผู้คนทั่วไปอย่างสัมฤทธิ์ผล ทั้งเรื่องหน้าที่การงานสอบเข้าเรียนต่อ ขายที่ขายทาง ค้าขายโรคภัยไข้เจ็บ บนบานทหาร แม้กระทั่งเรื่องโซคลาภที่เคยมีประชาชนทั่วไปเขย่าคิ้วถูกหวยร่ำรวยมานักต่อนักแล้ว

อภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อปูวัดโกรกกรากนั้น นับว่าเป็นสิ่งเร้นลับที่พิสูจน์ไม่ได้แต่บางครั้งก็สามารถดลบันดาลช่วยเหลือผู้คนทั่วไปได้อย่างนำอัศจรรย์ จึงทำให้ผู้คนเดินทางเข้าไปกราบไหว้บูชาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันโดยไม่มีเสื่อมคลาย

วัดโกรกกราก ตามประวัติสันนิษฐานว่าเป็นวัดโบราณค่าแก่ไม่ปรากฏชื่อ สร้างเมื่อประมาณปี พ.ศ.2375 และได้รับพระราชทานเมื่อ พ.ศ.2423 ตรงกับสมัยของรัชกาลที่ 2 สมัยพระอธิการโต อดีตเจ้าอาวาส และได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น เสนาสนะต่าง ๆ เสียหายจนหมดสิ้นเหลือแต่อุโบสถเท่านั้น โชคลาภ

เดิมบริเวณนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนชาวจีน โชคลาภ ซึ่งสิ่งปลูกสร้างของทางวัดที่เป็นเครื่องยืนยันได้ก็คือ อุโบสถไม้สักหลังคาแอ่นคล้ายเก๋งจีน เสาระเบียงเฉียงออกทั้งสี่ด้าน และบริเวณด้านหน้ามีเจดีย์รอบองค์ และมีเรือสำเภาจีนสร้างด้วยคอนกรีต กาลเวลาต่อมาได้สูญหายไปหมดสิ้นเหลือแค่องค์เจดีย์ ในจดหมายเหตุประพาสของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพก็ปรากฏชื่อ “วัดโกรกกราก” โดยเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ.2448 เรือพระที่นั่งของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เคยจอดเทียบท่าวัดโกรกกราก เมื่อครั้งเสด็จประพาสล่องเรือมาจากบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี และซื้ออาหารบ้านท่าฉลอมและนำมาซึ่งอาหารที่ศาลาท่าน้ำวัดโกรกกราก โดยในครั้งนั้นท่านสมเด็จกรมพระยดำรงราชานุภาพได้ขึ้นมาบนวัดโกรกกราก เพื่อให้พระรดน้ำมนต์ เนื่องจากเมาเรือ วัดโกรกกรากปัจจุบันได้มีการพัฒนาเจริญรุ่งเรืองกว่าเดิมเป็นอย่างมาก มีการปรับปรุงทิวทัศน์รอบ ๆ วัดอย่างสวยงามสถานที่กว้างขวาง มีสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ มากมายที่โดดเด่นในเวลานี้ก็เห็นจะเป็นอุโบสถหลังใหม่ที่ใหญ่โต มีหลวงกรับอดีตเจ้าอาวาสพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียง เล่ากันว่า “ใครมีเหรียญหลวงกรับแขวนคอแล้ว จะแคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง ถึงจะตกระคำลำบากอยู่ที่ใดก็จะได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย” ส่วนในเรื่องการเดินทางเข้าสู่วัดโกรกกรากนั้นสะดวกสบายจากกรุงเทพฯ เข้าถึงมหาชัย สอบถามชาวบ้านแถวนั้นดูก็ได้พราะส่วนใหญ่รู้จักหลวงพ่อปูวัดโกรกกรากทุกคน

 

รอยพระพุทธบาท

เรื่องราวเกี่ยวกับความเชื่อเรื่อง “ร่อยพระพุทธบาท” ที่มีปรากฎในพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา หรือพระไตรปิฎกและจากบทสวดมนต์ครั้งนี้ผู้เขียนได้เกิดความสงสัยในเรื่องของรอยพระพุทธบาท ซึ่งมีมากมายในประเทศไทยและหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก โดยที่ผู้เขียนให้เกิดสงสัยว่ารอยพระพุทธบาทมีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกหรือไม่ มีการประทับไว้จริงหรือไม่? จึงได้ค้นหาข้อมูลเรื่องราว มาแบ่งปันความรู้กันไว้ในบทความที่จะกล่าวนี้… โชคลาภ

จากข้อมูลเรื่องราวที่ได้สืบค้นหาจากทั้งในหนังสือและอินเตอร์เน็ต พอที่จะนำมาสรุปให้ได้ใจความ เพื่อเป็นข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจ ทั้งนี้ในประเทศไทยก็จะมีเรื่องราวของรอยพระพุทธบาทมากมาย ถ้าจะกล่าวถึงรอยพระพุทธบาทที่คนไทยทั่วประเทศให้ความสนใจเดินทางไปนมัสการ ก็คงจะกล่าวถึงรอยพระพุทธบาทที่เขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี ที่คนไทยเดินทางไปร่วมแสน ร่วมล้วนคนในแต่ละปี ซึ่งรอยพระพุทธบาทแต่ละแห่งนั้น จะเป็นรอยพระพุทธบาทแท้จริงหรือไม่นั้น ผู้เขียนไสมารถที่จะฟันธงลงไปได้ ขอให้คิดว่าเป็นพุทธานุสติ ในการระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าจะดีที่สุด…ซึ่งตัวผู้เขียนเองก็เคยรับฟังธรมเทศนาของพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ)วัดท่าชุง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งทนก็ได้กล่าวไว้เช่นกันเกี่ยวกับเรื่องรอยพระพุทธบาท เป็นเรื่องของพุทธานุสติทำให้จิตเป็นกุศล จะแก้หรือไม่นั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ… โชคลาภ

ตามความเชื่อในพระไตรปิฎกนั้น ถูกกล่าวไว้ในปุณโณวาทสูตร พระสูตตันตฎก เล่มที่ 23 (ภาค 3 เล่ม 2) อรรถกถาปัญจสูทนี หน 410 (ฉบับมหามกุฏฯ ฉลองพระชนมายุสมเด็จญาณสังวร สมเด็พระสังฆราชฯ) ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับรอยพระพุทธบาท 2 แห่ง ได้แก่ รอยพระพุทธบาทที่แม่น้ำนัมมทานทีและที่ภูเขาสัจจพันธ์ โชคลาภ

 

Lekded-Huay2

Lekded-Huay2

 

เรื่องราวคราว ๆ พอสรุปเนื้อหาในพระไตรปิฎก มีดังนี้

ที่แคว้นสุนาปรันตะ มีพี่น้อง 2 คน คนพี่ชื่อปุณณะ คนน้องชื่อจุฬาปุณณะ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านพานิชคาม ซึ่งเป็นหมู่บ้านของพ่อค้ากลุ่มหนึ่ง ครั้งหนึ่งฝ่ายพี่ชายได้บรรทุกเกวียน 500 เล่ม เดินทางไปค้าขายยังเมืองสาวัตถีและตั้งกองเกวียนพักแรมกันใกล้กับวัดพระเชตะวันมหาวิหาร ในวันนั้นระหว่างการพักผ่อนกับบริวาร ได้เห็นชาวเมืองสาวัตถื อธิษฐานคืออุโบสถศีล(ถือศีลในวันพระ) และพากันเดินทางไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่วัดพระเชตะวันมหาวิหารเพื่อฟังธรรม ฝ่ายปุณณะเห็นชาวเมืองเดินทางไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า จึงได้เดินทางพร้อมบริวารไปฟังธรรมด้วยเช่นกัน จนเกิดความเลื่อมใสอย่างมาก โชคลาภ

หลังจากฟังธรรมแล้วเสร็จ ฝ่ายปุณณะจึงเข้าถวายบังคมทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าและสาวก เพื่อเสวยพระกระยาหารในวันรุ่งขึ้น และหลังจกนั้นเขาจึงยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้น้องชาย เพื่อออกบวช

ครั้นเมื่อทำการออกบวชแล้วจึงได้กราบทูลลาพระพุทธเจ้ากลับไปยังบ้านเกิดที่แคว้นสุนาปรันตะ โชคลาภ และได้บรรลุอรหันต์ในพรรษาแรก จากนั้นพระปุณณะเถระได้ให้ชาวบ้านช่วยกันสร้างศาลาด้วยไม้แก่นจันทร์แดงที่วัดมกุลการาม เพื่อถวายแด่พระพุทธเจ้า เมื่อสร้างแล้วเสร็จพระปุณณะ เถระได้เดินทางไปยังวัดพระเชตวันมหาวิหารเพื่อกราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า ให้เสร็จมาพักยังสถานที่นี้ และพุทธองค์ก็ได้รับอาราธนา ที่จะเสด็จไปพร้อมคณะพระภิกษุ สงฆ์อีก 499 องค์

จากนั้นได้เกิดปาฏิหาริย์ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ที่พระอินทร์เป็นราชาแห่งเทพบัณฑ์กับพลศิลาอาสน์ของพระอินทร์ได้เกิดร้อนขึ้น พระองค์จึงรู้ทันที่ว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จเดินทางไกลถึงแคว้นสนาปรันตะ จึงได้รับสั่งให้พระวิศวกรรม (ทาววิษณุกรรม) เนรมิตเรือนยอดทั้งหมด500 หลัง ถวายแด่พระพุทธองค์และเหล่าภิกษุสงฆ์ที่เสด็จตาม โดยเรือนยอดสำหรับพระพุทธเจ้ามี 4 มุข ของพระอัครสาวก(พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ) มี 2 มุข ส่วนที่เหลือมี 1 มข โชคลาภ

เมื่อท้าววิษณุเนรมิตเรือนยอดครบแล้วพระพุทธเจ้าและเหล่าภิกษุได้เข้าสู่เรือนยอดทั้งหมด 499 หลัง มีอยู่หลังหนึ่งที่ว่างอยู่ จากนั้นเรือนยอดทั้งหมดได้ลอยขึ้นสู่อากาศเพื่อไปยังแคว้นสุนาปรันตะ เมื่อทรงเสด็จมาถึงสัจจพันธ์พระพุทธองค์ได้ทรงหยุดเรือนยอดไว้ในอากาศ เพราะทราบวาระจิตของฤๅษีดาบสตนหนึ่ง ซื่อ สัจจพันธ์ฤๅษีที่ภูเขาแห่งนี้ว่า สามารถจะบรรลุธรรมเป็นอรหันต์ใต้ดังนั้นแล้วพระพุทรองศ์จึงได้เสด็จลงไปยังเขาสัจจพันธุ์และแสดงธรรมแก่ฤๅษีคาบสนั้นจนสำเร็จเป็นพระอหันต์ และได้เข้าสู่เรือนยอดที่ว่างอีกหลังหนึ่งเพื่อไปยังแควันสุนาปวันตะ

เมื่อพระพุทธองค์เสด็จพร้อมเหล่าสาวก500 องค์ มาถึงหมู่บ้านพานิช ถามเหล่าพ่อค้าทั้งหลายได้ร่วมกันถวายมหาทานแก่เหล่าภิกษุและพระพุทธเจ้า จากนั้นได้ไปยังวัดมกุลการาม และได้เสด็จเข้าสู่ศาลาไม้จันทร์แดงที่ได้สร้างถวายไว้ เหล่าพ่อค้าได้เข้าฟังธรรม จนบรรลุธรรมไปอย่างมาก

พระพุทธองค์ได้ประทับที่วัดมกุลการามนาน 3 วัน จึงได้ตรัสต่อพระปุณณะเถระ ให้อยู่ที่นี่เพื่อนำพระธรรมแสดงต่อผู้คนที่ยังไม่รู้อีกมากมาย และพระองค์ก็ได้เสด็จกลับพร้อมภิกษุ 500 รูป มาถึงแม่น้ำนัมมทานที่ เมื่อถึงริมฝั่งแม่น้ำได้พบกับนัมมทานาคราชที่ได้ถวายการต้อนรับแก่พระพุทธองค์ และนาคราชได้ทูลขอพระพุทธองค์ประทานสิ่งที่ให้ระลึกบูชาพระองค์จึงได้ประทับรอยพระบาทไว้ที่ฝั่งแม่น้ำนัมมทานที่ไว้แทนพระองค์

จนกระทั่งพระพุทธองค์ได้เสด็จมาถึงเขาสัจจพันธ์ได้ทรงรับสั่งให้พระสัจจพันธ์เถระให้อยู่ ณ เขาสัจจพันธ์แห่งนี้เพื่อแสดงพระธรรมและเผยแพร่แก่เหล่าชนที่ยังไม่ถึงธรรม ดังนั้นพระสัจจพันธ์เถระจึงได้ทูลขอสิ่งที่จะพึงระลึกถึงพระพุทธองค์ พระองค์จึงได้ประทานประทับรอยพระพุทธบาทไว้บนแผ่นหิน ณ เขาสัจจพันธ์ และได้เสด็จกลับถึงวัดพระเชตะวันมหาวิหาร จากเรื่องราวในพระไตรปิฎก จึงถือได้ว่า ความเชื่อเรื่องรอยพระพุทธบาทจะปรากฏอยู่ 2 แห่ง คือที่เขาสัจจพันธ์และริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที

พระพุทธเจ้าได้เสด็จมายังลังกาทวีปและได้ทรงแสดงธรรมแก่ชาวลังกาจนเกิดความเลื่อมใสอย่างมาก ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จกลับจึงได้แสดงปาฏิหาริย์ประทับรอยพระพุทธบาทไว้ ณ ยอดเขาสุมนกูฏ เพื่อเป็นที่ระลึกบูชาแก่ชาวลังกาต่อไป

ความเชื่อรอยพระพุทธบาทเพิ่มเติมจากหลวงจีนฟาเหียน โดยในราว ๆ พุทธศตวรรษที่ 10 หลวงจีนฟาเหียนได้เดินทางมายังลังกาเพื่อแสวงหาพระธรรม และนมัสการรอยพระพุทธบาท โดยมีบันทึกไว้ว่าพระพุทธเจ้าได้ประทับรอยพระพุทธบาทในลังกา 2 แห่งคือ บนยอดเขาสุมนกูฏ และอีกรอยหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองอนุราชปุระ ซึ่งนั่นก็คือสุวรรณมาลิกบนเขาอภัยคีรี ซึ่งพบหลักฐานจากบทสวดมนต์บาลีของไทย

 

สรุปจากเรื่องราวทั้งหมดตามความเชื่อต่าง ๆ จึงปรากฎเรื่องราวของรอยพระพุทธบาทที่ได้รับความเชื่อถือของชาวพุทธอยู่ 5 แห่ง ได้แก่

   1.สุวัณณมาลิก หรือ สุวรรณมาลี เชื่อกันว่าอยู่ในประเทศศรีลังกาบนยอดเขาอภัยคีรี (Abhayagivi Dagoba) จากเรื่องราวพบหลักฐานการบันทึกจากหลวงจีนฟาเหียนและในบทสวดมนต์บาลี โดยมีการสร้างพระเจดีย์ขึ้นครอบไว้

   2.เขาสัจจพันธ์คีรี ที่เชื่อว่าประดิษฐานที่วัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ซึ่งรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ ถูกค้นพบในสมัยอยุธยารัชสมัยของพระเจ้าทรงธรรม การค้นพบเนื่องจากพระสงฆ์ไทยได้เดินทางไปสักการะรอยพระพุทธบาทไกลถึงลังกา และได้ทราบเรื่องราวจากพระไตรปิฎกว่า มีรอยพระพุทธบาทที่ประเทศไทย จึงได้ทำการค้นหา จนพบที่จังหวัดสระบุรี

   3.เขาสุมนกูฏ เชื่อว่าประดิษฐานรอยพระพุทธิบาท บนเขาสุมรถูฏ ประเทศศรีลังกาเป็นไปตามคติความเชื่อของชาวลังกามาแต่โบราณ ปัจจุบันเรียกว่ายอดเขาอดัม(Adam’s Peak) หรือเรียกว่า ศรีปากะ (Sri Padas)

   4.แม่น้ำมัมมทานที ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นแม่น้ำอยู่ในแคว้นทักขิณาบถ ปัจจุบันเรียกว่าแม่น้ำเนรพุทท (Narmada) มีการบูชาด้วยการลอยพระประทืบ (กระทง)

   5.โยนกปุระ (วัดพระพุทธบาทสีรอยอ.แม่ริม จ.เชียงใหม่) เชื่อว่าเป็นอาณาจักรล้านนา ซึ่งแต่เดิมเป็นอาณาจักรโยนกมาก่อน เป็นรอยพระพุทธบาทของ พระพุทธเจ้าในอดีตและปัจจุบัน รวม 4 องค์ (ในภัทรกัปนี้) และมีตำนานความเชื่อว่าในอนาคตกาล พระศรีอริยามหาไตร จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายในภัทรกัปนี้ จะเสด็จมาประทับรอยพระพุทธบาทประสานกันเป็นรอยเดียว

Continue Reading
Click to comment

Leave a Reply

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *